5 ปมสั่งตาย “แคล้ว ธนิกุล” เจ้าพ่อนครบาลกับพระสมเด็จวัดระฆัง ที่หายไป?
by Trust News, 21 สิงหาคม 2568
เบื้องหน้า เบื้องหลัง 117 นัด ดับ เจ้าพ่อนครบาล “แคล้ว ธนิกุล” 5 ปมสั่งตาย กับพระสมเด็จวัดระฆัง กับข่าวลือเรื่องหนังเหนียว …
มีหลายครั้ง ที่โลกของภาพยนตร์ ได้แรง “บันดาลใจ” มาจาก “เรื่องจริง ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
นำชีวประวัติ “บุคคล” ที่มีตัวตนจริง บางเรื่อง “หยิบจับ” ประวัติ แต่บางเรื่อง ก็นำเศษเสี้ยว จาก “เหตุการณ์ในชีวิต” มาทำ
และ ในหนัง “พระแท้ คนเก๊” ก็มีเหตุการณ์ “ลอบสังหาร” และ “คนดัง” ในอดีต ที่เกี่ยวข้องกับ “พระระดับตำนาน” อย่าง “สมเด็จวัดระฆัง” อยู่ด้วย
วันนี้ “ทรัสต์นิวส์” ฟื้นคดีดัง จะนำเรื่องราวของ “แคล้ว ธนิกุล” ที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุด ฉายา “เจ้าพ่อนครบาล”
พุทธคุณ สมเด็จวัดระฆัง เหนียวจริงไหม ข่าวลือว่า ไม่มีร่อยรอยกระสุนจริงไหม วันนี้ ผมจะมาเล่าให้ฟัง
ที่ผ่านมา “แคล้ว” เคยถูกลอบสังหารมาแล้ว 2 ครั้ง
ครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ต.ค.2523 ที่หน้าสนามมวยราชดำเนิน เมื่อจู่ๆ มีคนร้ายขว้างระเบิดเข้าใส่รถของนายแคล้ว เป็นเหตุให้ จ่าตำรวจคนหนึ่ง ซึ่งเป็นมือปืนและคนขับรถของนายแคล้ว เสียชีวิต
ขณะที่ นายแคล้ว รอดตายมาได้ เพราะเป็นจังหวะที่กำลังก้าวขึ้นรถ แต่บอดี้การ์ด แคล้ว เห็นก่อน จึงดึงตัว ดึงคอ แคล้ว ให้ก้มตัวหลบ ยังไม่ทันขึ้นรถ จากนั้นได้พาหนี ขึ้นรถอีกคันหนึ่ง
ครั้งที่ 2 เกิดขึ้น วันที่ 2 เมษายน 2525 ขณะนั้น กำลังนั่งดูมวยอยู่ที่ เวทีมวยลุมพินี ซึ่งเวลานั้น มีบุคคลสำคัญทางการเมือง อยู่ในเวทีมวยดังกล่าวด้วย เช่น นายชวน หลีกภัย นายวีระ มุสิกพงศ์
เหตุระเบิดครั้งนั้น เกิดขึ้น 2 ครั้งซ้อน โดยมี ผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บกว่า 50 ราย โดยมี พ.ต.ท.สุรศักดิ์ โลหะชาละ ลูกชายอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ เสียชีวิตด้วย
แต่...แคล้ว คลาดแคล้ว หนีรอดออกมาได้หวุดหวิด
กระทั่ง ครั้งที่ 3 นี้ แคล้วถูกลอบสังหาร สำเร็จ เสียชีวิต นายวัย 52 ปี 6 เดือน กับ 22 วัน
ที่สำคัญ “แคล้ว ธนิกุล” หรือ เฮียเหลา เป็น 1 ใน 7 ผู้มีอิทธิพลระดับ “เจ้าพ่อ” ที่ รสช. ขอตรวจสอบเส้นทางการเงิน และ เฮียเหลา ตอบว่า
“ผมยินดีให้ตรวจสอบ ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ไม่ค้าของหนีภาษี ไม่ได้เป็นคนบ่อนทำลายชาติ เงินทองก็ต้องกู้ยืมธนาคาร ผมบริสุทธิ์ หากตรวจสอบทรัพย์สินผม ผมก็ยินดี ทุกคนรู้ว่าผมบริสุทธิ์”
นายแคล้วพูดไว้ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2534 หรือ 3 วันก่อนถูกเก็บ...อย่างเหี้ยมโหด

ถล่มฆ่า แคล้ว
เหตุการณ์ ลอบสังหาร “แคล้ว ธนิกุล” นั้น กลายเป็นข่าวใหญ่ ขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์ทุกฉบับในต้นเดือนเมษายน 2534 ซึ่ง นสพ.หัวสี ในขณะนั้น อย่าง “ไทยรัฐ” ก็ขึ้นพาดหัวครึ่งหน้าสั้นๆว่า “
“ถล่มฆ่า…แคล้ว”
เหตุการณ์ ถล่มฆ่า ดับเจ้าพ่อวงการมวย เกิดขึ้นเมื่อเวลา 16.30 น. ของวันที่ 5 เมษายน 2534 หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.สามพราน จ.นครปฐม รับแจ้งเหตุคนร้ายดักยิงถล่มด้วยปืน เอ็ม 16 ใส่รถปิกอัพ ทะเบียน 1 ฌ 5528 กทม. ถนนสายพระปิ่นเกล้า นครชัยศรี ท้องที่ใน อ.สามพราน จ.นครปฐม
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบ รถปิกอัพสีดำ เขียนว่า “ธนิกุลยิม” จอดอยู่กลางถนน สภาพถูกยิงด้วยกระสุนปืน เอ็ม 16 จนพรุนไปทั้งคัน
ภายในที่นั่งคนขับและเบาะหน้าติดคนขับ มีคนถูกยิง 2 ศพ สภาพศพถูกยิงจนพรุน คนขับถูกยิงจนศีรษะแยกออกจากกัน สภาพศพยากจะบรรยาย
แม้ในเบื้องต้น จะไม่ทราบผู้ตายเป็นใคร...
เหตุการณ์ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้น เมื่อ ตำรวจ ให้เจ้าหน้าที่ ป่อเต็กตึ้ง เข้าไปนำร่างคนเสียชีวิตออกมา ระหว่างนั้น “ระเบิด” ชนิดสังหาร ที่คนร้ายขว้างใส่รถแต่ไม่ระเบิด ที่ตกอยู่ด้านหน้ารถ เกิดระเบิดขึ้น
ตูม!! เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทะให้สะเก็ดระเบิดกระจาย โดน เจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นาย บาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ป่อเต็กตึ้ง โดนเข้ากลางหลัง รวมทั้งบรรดาไทยมุงอีกสิบกว่าคนได้รับบาดเจ็บ จึงต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล สามพราน
หลังเกิดเหตุระเบิด ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้รถ พ.ต.อ.ชัยศรี สุระเสวี รองผู้กำกับนครปฐม ขณะนั้น จึงประสานให้รถดับเพลิงมาฉีดน้ำ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ระเบิดซ้ำ
เมื่อมั่นใจ เจ้าหน้าที่ จึงนำร่างผู้เสียชีวิต ทั้ง 2 ออกจากรถ คนแรก คือ นายสกลยุทธ ท่องสายธาร อายุ 44 ปี หรือ “ตี๋ ดำเนิน”

ส่วนอีกคนก็คือ “แคล้ว ธนิกุล” เจ้าพ่อนครบาล ผู้กว้างขวาง วงการมวย
ตรวจสอบ ทรัพย์สิน เจ้าหน้าที่พบเงินสด 51,000 บาท แขวนพระสมเด็จวัดระฆัง 1 องค์ แหวนเพชร 1 วง ขณะที่นำร่างออกมา
ในมือขวา ของนายแคล้ว กำปืนขนาด 9 มม. วางไว้ที่ซอกหน้ารถ แต่ไม่ทันมีโอกาสได้ใช้
ขณะที่ ศพของ ตี๋ ดำเนิน พบสร้อยทองคำ หนัก 5 บาท กุญแจ 1 พวง มือซ้าย กำอาวุธ 11 มม. เอกสาร ยังไม่เปิดผนึก 1 ซอง
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ นำร่างของทั้งสอง ไป ที่ โรงพยาบาลสามพราน ก่อนจะส่งต่อที่ นิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ
ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า รถปิกอัพของนายแคล้ว วิ่งมาจาก กทม. มุ่งหน้า อ.สามพราน ขณะนั้น มีรถปิกอัพสีแดงคันหนึ่ง ไม่ทราบยี่หอ และทะเบียน ขับไล่กวดมาอย่างรวดเร็ว รถนายแคล้ว พยายามเร่งเครื่องหนี อย่างสุดชีวิต
รถปิกอัพ สีแดง พยายามแซงขึ้นหน้าได้สำเร็จ จากนั้น กลุ่มมือปืนไม่ต่ำกว่า 4 คน ถืออาวุธปืนเอ็ม 16 เริ่มเปิดฉากยิงใส่รถนายแคล้ว
รถนายแคล้วพยายามเร่งเครื่องขับหนี รถของกลุ่มคนร้ายก็เร่งเครื่องตาม ขับตามประกบด้านข้าง
คมกระสุน เจาะตัวรถด้านข้างเป็นรูพรุน เสียงดังสนั่นหวั่นไหว รถสองคันขับตีคู่กันมาประมาณ 1 กิโลเมตร
จากนั้น รถนายแคล้ว ก็หมดฤทธิ์ จอดอยู่ห่างปั้มน้ำมัน ปตท. ประมาณ 500 เมตร
หลังรถหยุด คนเห็นเหตุการณ์บอกว่า นายแคล้ว ยังไม่เสียชีวิต พยายามกระเสือกกระสนออกจากรถ คว้าปืน 9 มม. ที่แอบซุกไว้ แต่ยังไม่ทันออกจากรถ
กลุ่มมือปืน ตามยิงถล่มซ้ำแบบหูดับตับไหม้ พร้อมขว้างระเบิดสังหาร เข้าไปในรถ แต่ไม่ระเบิด ไปตกอยู่ด้านหน้า
ขณะที่กลุ่มมือปืน คาดว่า มีไม่ต่ำกว่า 6 คน ก่อนขับรถหลบหนีไปทาง อ.สามพราน
ตำรวจเชื่อว่า กลุ่มคนร้ายน่าจะตามนายแคล้ว มาจากรุงเทพฯ ซึ่งมีการวางแผนล่วงหน้า เตรียมการมาอย่างแนบเนียน
เมื่อตามมาถึง ในถนนเส้นดังกล่าว ซึ่งเป็นเส้นทางที่เปลี่ยวมาก สบโอกาสจึงลงมือยิงถล่ม โดยยังมีรถคอยคุ้มกันอีกคัน เพื่อคอยตามซ้ำ หากปิกอัพสีแดงทำพลาด...
ขณะเดียวกัน ตำรวจได้เก็บหลักฐาน พบกระสุนปืนมากกว่า 100 ปลอก ซึ่งต่อมา ก็คือ พบทั้งหมด 117 ปลอก
ขณะที่ ลูกสาวของ “แคล้ว” ก็รุดไปที่เกิดเหตุ ให้การว่า พ่อ เดินทางออกจากบ้าน ที่สุขุมวิท 93 กับลูกน้อง 3 คน ทราบว่าไปงานที่ดินแดง จากนั้น จะไปให้กำลังใจ “เขาทราย แกแลคซี่” ซ้อม และ จะไปหา สจ.คนหนึ่ง ที่ จ.สมุทรสงคราม กระทั่งมาทราบข่าวว่าพ่อถูกยิงเสียชีวิต
รายงานข่าว นิติเวช ระบุว่า ศพ นายแคล้ว มาในสภาพถอดเสื้อ สวมเพียงกางเกงขาสั้นสีขาวตัวเดียว มีรอยถูกยิงด้วยปืนหลายขนาด เข้ากลางหลังหลายนัด ขณะที่ สภาพศพ ตี๋ ดำเนิน ถูกยิงบริเวณหัวและใบหน้าหายไปทั้งแถบ
ด้าน พล.อ.วิโรจน์ แสงสนิท เสธ.ทบ. เผยว่า ได้รับรายงานการตายของ นายแคล้วแลว หลายคนมองว่า เป็น นโยบายปราบปรามเจ้าพ่อของทาง รสช. หรือ คณะรักษาความสงบเรียบร้อย
พล.อ.วิโรจน์ ปฏิเสธทันควัน ว่าไม่ใช่แน่ เรื่องนี้เราไม่มีนโยบาย แม้แต่แนวความคิดก็ไม่มี
ทางเราทำแต่เรื่องการตรวจสอบภาษีเฉยๆ ผู้ตายอาจจะมีปัญหาอื่นๆ ด้วยหรือไม่ ผมไม่ทราบ...
ขอยืนยันว่า ไม่ใช่นโบาย รสช.
ด้าน พล.ต.ต.ธนู หอมหวล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล บอกว่า ไม่กล้าสันนิษฐานว่า การตายของนายแคล้ว แท้จริงมาจากเรื่องอะไร แต่ทราบว่า ช่วงหลังมานี้ นายแคล้ว ไปเสียการพนันที่มาเก๊าหลายสิบล้าน
เมื่อกลับมาเมืองไทย ก็มีการหยิบยืมเงินคนอื่น ซึ่งก็อาจจะเป็นสาเหตุก็ได้ อย่างไรก็ตาม นายแคล้ว เป็นคนที่ศัตรูเยอะ น่าจะมาจากสาเหตุอื่นเช่นเดียวกัน
ขณะที่มือปืนคู่ใจอย่าง “ตี๋ ดำเนิน” ก็อยู่กับนายแคล้วมานับ 10 ปี
ที่ผ่านมา เคยทำคดี “ลอบสังหาร” บุคคลสำคัญ ถามว่า นายแคล้ว มีพัวพันในคดีใดบ้าง รอง ผบช.น. ขณะนั้น ตอบอย่างชัดเจนว่า นายแคล้วไม่ได้ลงมือเอง แต่อาจจะมีส่วนในการตายของบุคคลหลายคน
โดยเฉพาะ “ตี๋ ดำเนิน” มือปืนคู่ใจ นายแคล้ว นั้น พบว่ามีส่วนพัวพันกับการสังหาร “แดง ไบเล่ห์, ตี๋ ปลาหมึก
สำหรับ นายตี๋ ดำเนิน คนในวงการเขารู้กันดีว่า หาก นายแคล้ว หรือ เฮียเหลา สวนมะลิ ไม่พอใจอะไร ตี๋ ดำเนิน ก็จะลงมือทันที โดยไม่จำเป็นต้องสั่ง...
รายงานข่าวระบุด้วยว่า นายแคล้ว อาจเป็นหนี้ กว่า 300 ล้านบาท โดยมีการติดค้างในบ่อนต่างประเทศ ราว 26 ล้าน อีกว่า 200 ล้าน คือ การติดในบ่อนการพนันในประเทศไทย สาเหตุที่ติดค้างได้มาก เพราะใช้ “ชื่อเสียง” ค้ำประกัน… โดยต้องเสียดอกเบี้ยรายวันถึง วันละ 850,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ช่วงหลัง มีท่าทีว่า จะ “ชักดาบ” จึงอาจเกิดความไม่พอใจ ของผู้มีอิทธิพลในระดับเดียวกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดการ “หักเหลี่ยมเฉือนคม” กันในวงการ ซึ่งก็ถูกตั้งเป็นประเด็นหนึ่งในการลอบสังหารครั้งนี้
อีกด้านหนึ่ง นายทรงชัย รัตนสุบรรณ โปรโมเตอร์ มวยชื่อดัง ยอมรับว่า “เฮียแคล้ว” เป็นบุคคลสำคัญของวงการมวย ส่วนตัวรัก และนับถือ “เฮียเหลา” หรือ เฮียแคล้วมาก เสียใจที่เขาต้องจากไป ต่อไปวงการมวยคงหาผู้สนับสนุนแบบนี้ยาก…

มือปืนร่วมชะตากรรม...ราเชนทร์ ยังไม่ตาย
รายงานข่าวเพิ่มเติม ระบุว่า ตอนที่เกิดเหตุดวลปืนนั้น นอกจาก นายแคล้ว และ ตี๋ ดำเนิน แล้ว ยังมีอีกหนึ่งคนนั่งอยู่ในรถด้วย ก็คือ นายราเชนทร์ ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งถือเป็นมือปืนระดับพระกาฬ
โดยตอนเกิดเหตุนั้น ยังมีการยิงต่อสู้กัน แต่หลังเกิดเหตุกลับหายตัวไป โดยไม่มีใครทราบว่าไปไหน แม้หลังเกิดเหตุ จะพยายามติดตามตัว จากโรงพยาบาลต่างๆ เพราะคาดว่าอาจจะบาดเจ็บ แต่ก็ไม่พบตัว
ลูกน้องของ “แคล้ว” คนหนึ่ง ให้ข้อมูลถึงปมลอบสังหารในครั้งนี้ว่า หากเป็นศัตรูเก่า นั้น ตัดทิ้งไปได้เลย เพราะ เคลียร์กันไปหมดแล้ว บางคนล้มหายตายจากกันไปแล้ว
“เรื่องนี้อาจเป็นการสอดแทรกของคนกลุ่มหนึ่ง ที่ยังมีปัญหา “คาราคาซัง” กับ “เฮียเหลา”
เท่าที่ปรึกษาหารือกัน ทราบว่า “เฮียเหลา” เคลียร์ปัญหาไม่ลงตัวเรื่องหนึ่ง เมื่อปลายปี 2533 ก่อนถูกจับในข้อหา “ซ่องโจร” มีลูกชายนักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นผู้กว้างขวางทางภาคใต้ เข้ามาเล่นการพนันที่บ่อน “เจ๊นวล” ซึ่งอยู่ในการดูแลของเฮียเหลา แล้ว “เบี้ยวพนัน” ถูก “จ๊อด เฮาดี้” ลูกน้องระดับคนสำคัญคนหนึ่ง กับลูกน้องชั้นปลายแถวรุมซ้อม จนลูกชายนักการเมืองตาบอดและแขนหัก มีอาการทางสมอง ไม่สามารใช้ชีวิตได้เยี่ยงคนปกติ สร้างความไม่พอใจให้กับพ่อเป็นอย่างมาก
ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้น “ลูกพี่” อย่าง “เฮียเหลา” ก็เลยติดร่างแหถูกเพ่งเล็ง และโดนคำสั่งลับ ให้จับกุมในข้อหา “ซ่องโจร”
โดยมีการออกข่าวจากฝั่งตำรวจว่า เป็นการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” เพราะสืบทราบมาว่า “เฮียเหลา” จะมาเจรจาเรื่องเงินพนัน 4 ล้านบาท จาก “เม้ง ท่าดินแดง” พร้อมเตรียมถล่มกันด้วย จึงต้องระงับเหตุไว้ก่อน
เฮียเหลา พยายามเคลียร์ทางให้จบ แต่ไม่มีสัญญาณว่าจะจบ ความแค้นของอีกฝ่ายยังสุ่มแน่น เพราะลูกชายกลายเป็นคนพิการ
ที่ผ่านมา “เฮียเหลา” ระมัดระวังตัวตลอด แต่ระยะหลัง ทางตำรวจมีการจับการปราบปรามเจ้าพ่อ เกรงว่าจะถูกหาว่าไม่ให้ความร่วมมือ จึงลดจำนวนคนติดตาม อาวุธที่เคยพก ก็จะไม่พก เนื่องจากตำรวจเข้ากวนหนัก เหตุไม่คาดฝันจึงเกิดขึ้น
ส่วนข่าวเรื่อง “เสียการพนัน” ลูกน้องนายแคล้ว บอกว่า การใช้เครดิตค้ำเป็นเงินร้อยๆ ล้าน ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง ที่ติดหนี้ก็ตีเช็กให้ หนี้สิน มีเหมือนกัน เป็นหนี้จากการพนัน เสียเงินเป็นสิบล้าน ไม่ถึงร้อยล้าน และเคลียร์หมดแล้ว แต่ก็ยอมรับว่า “ลูกพี่เสียการพนันหนักมาก ดวงตกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตอนนี้ ฐานะความเป็นอยู่ของเฮียเหลา ย่ำแย่ลง เพราะเสียการพนัน ขนาดค่าตัว “เขาทราย แกแล็คซี่” จำนวน 1 ล้าน บาท ยังเอาแหวนที่เฮียใส่ติดนิ้วไปจำนำเกลี้ยงและใส่ของปลอมแทน ส่วนโครงการก่อสร้าง หอพักเก็บตัวนักมวยโอลิมปิก ก็คงล้ม เพราะไม่มีเฮียอยู่แล้ว…
ส่วนข่าวลือ เรื่องยิงถล่มในดิสโก้ แห่งหนึ่ง แล้วมีนายทหารเสียชีวิต ลูกน้องของแคล้ว ยืนยันว่าไม่เกี่ยว เพราะลูกน้องอีกฝ่ายไปเที่ยวแล้วทะเลาะกัน ไม่ใช่เรื่องของผู้ใหญ่
เกี่ยวหรือไม่ ที่ทางการกำลังปิดบัญชีดำ กลุ่มเจ้าพ่อ ลูกน้องแคล้ว บอกว่า ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น ทุกปัญหาเฮียเคลียร์ได้หมด ยกเว้นเรื่องเดียว คือ ลูกนักการเมือง
ผลชันสูตร "เฮียเหลา สวนมะลิ"
วันต่อมา พล.ต.ต.ทัศนะ สุวรรณจูฑะ ผู้บังคับการนิติเวชวิทยา เผยว่า ผลการชันสูตรศพ “แคล้ว” พบว่า มีเศษกระสุนด้านหลัง 7 แห่ง มีเพียงชิ้นเดียวที่เข้าหัวใจทำให้เสียชีวิต ส่วนอาวุธสังหารเป็นปืนยาวที่ใช้ในสงคราม
ส่วนศพนาย สกลยุทธ หรือ ตี๋ ดำเนิน เจอกระสุนระเบิดเข้าที่ศีรษะ...
ขณะที่ คนที่รอดจากการยิงถล่มครั้งนี้ คือ ราเชนทร์มือปืนคู่ใจเฮียเหลา นั้น ล่าสุด จะขอเข้ามอบตัวกับตำรวจ ตอนนี้ขอไม่บอกสถานที่ เนื่องจากถูกยิงเข้าที่เอว ได้รับบาดเจ็บ กำลังลำบากมาก
ราเชนทร์เล่านาทีเป็นตาย ขณะถูกยิงถล่มว่า วันนั้นผมนั่งอยู่เบาะหลัง เพราะมีกระเช้าดอกไม้ขนาดใหญ่เตรียมนำปให้อวยพรวันเกิดประธาน ส.จ.
ช่วงที่เกิดเหตุคนร้ายยิงปืนด้วย “เอ็ม 79” เฮียเหลาโดนสะเก็ดเข้าเต็มหลัง แต่ยังมีสติ ผมเห็นจวนตัวเต็มทีจึงกระชากเสื้อเฮียเหลาชวนให้หนี เฮียเหลา ให้มาตอบ
“กูไม่ไหว”
เมื่อลูกพี่บอกอย่างนั้น จึงตัดสินใจเอาชีวิตรอดไว้ก่อน เปิดประตูกระโดดวิ่งหนีลงกลางทุ่งนา

จ๊อด ฮาวดี้ หรือ สมเกียรติ กองแก้ว
เชื่อคนในเครื่องแบบ...สังหารเฮียเหลา
กลุ่มคนร้ายบางคนสวมหมวกไหมพรม คนที่ไม่ใส่..สังเกตว่า ผมสั้นแบบรองทรง มีด้วยกันประมาณ 10 กว่าคน ด้วยประสบการณ์เชื่อว่า มีรถร่วมขบวนการครั้งนี้ 3 คัน แต่เห็นแค่ 2 คัน คือ กระบะคันที่วิ่งแซงหน้า แล้วยิงด้วยเอ็ม 79 ใส่ กับเก๋งสีดำ แต่งแบบซิ่งตามประกบยิงซ้ำ
สำหรับสาเหตุนั้น นายราเชนทร์ อ้างว่าไม่รู้ แต่มั่นว่ากลุ่มมือปืนมาจากกลุ่มคนในเครื่องแบบแน่นอน
อีกด้าน “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ประธาน รสช. กล่าวถึงกรณีคนร้ายใช้อาวุธสงครามว่า ขณะนี้ ยังอยู่ในประกาศกฎอัยการศึก คนร้ายก็ยังไม่เกรงกลัวกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เบื้องต้น คดีนี้ ขอให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ
ด้าน นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น คือ นายอานันท์ ปันยารชุน บอกว่า จากข่าวจากหนังสือพิมพ์เท่านั้น ยังไม่รู้รายละเอียดมากนัก ส่วนเรื่องอาวุธสงคราม อยากให้ไปถามกับทาง มหาดไทย เอง
ส่วน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวที่บ้านซอยสวนพลูว่า รู้จักกับนายแคล้วมานาน เมื่อทราบก็ใจหาย แต่เป็นกรรมเป็นเวรที่คนๆ นั้นมี ซึ่งก็จะต้องเป็น เช่นนั้น
นายแคล้ว ตาย ขณะประกาศกฎอัยการศึก มีความเห็นอย่างไร หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ บอกว่า คนโดนฆ่าตายเป็นเรื่องอุกอาจ เรื่องอุกฉกรรจ์ แต่อย่างน้อยเราก็ทราบว่า กฎอัยการศึกไม่สามารถป้องกันชีวิตนายแคล้ว ได้
ส่วนตัวไม่เชื่อเป็นฝีมือทหาร แม้ทหารจะมีอาวุธสงคราม แต่เวลานี้อาวุธสงครามก็เกลื่อนเมือง..
ขณะนี้ มีนโยบายปราบผู้มีอิทธิพล หม่อมคึกฤทธิ์ มองว่า ไม่อยากให้เหมารวม หลายคนที่ถูกยึดทรัพย์ก็เป็นคนรู้จัก ไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่ใช่ใครถูกอายัดทรัพย์ แล้วตูมเลย แบบนี้มันมากไป
หลายคนจับตาคดีนี้ อาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์ กล่าวว่า คดีใหญ่คนก็จับตามอง ชาวบ้านต้องคิดว่าจับคนร้าย ได้หรือไม่...เป็นเรื่องธรรมดา
“ผมยังยืนยันว่านายแคล้ว เป็นคนดี ถามผมอย่างไร ก็ต้องพูดอย่างนี้ เพราะเรื่องยังไม่ได้เข้าสู่โรงสู่ศาล จะให้พูดว่าไม่ดีได้อย่างไร แต่แม้ผ่านศาลออกมาแล้ว ผมก็ไม่บอกว่าใครเลว เพราะจะเป็นการเหยียบย่ำ ซึ่งเขาไม่ทำกัน”
นักข่าวถามต่อว่า ทำไมคนดีจึงถูกฆ่า หม่อมคึกฤทธิ์ ตอบ “คนดีตายก่อนคนชั่ว”
แล้วจะมีล้างแค้นไหม หม่อคึกฤทธิ์ กล่าวว่า “กรรมของใครก็ต้องตอบสนองเขาผู้นั้น ชีวิตของนายแคล้วนนั้นเป็นชีวิตของคนในวงการซึ่งต้องขัดแย้งกัน ขัดแย้งผลประโยชน์ การฆ่านั้น จะต้องมีการฆ่าคนอื่นก่อนแล้วมีการฆ่ากันตามมา
ฉะนั้น จะต้องมีการล้างแค้นแน่นอน ต้องมีคนตายอีกแล้ว คดีอย่างนี้ เขาไม่แจ้งตำรวจ แต่เขามักจะจัดการของเขาเอง ด้วยวิธีไหนก็แล้วแต่...” หม่อมคึกฤทธิ์ ทิ้งท้าย
ภายในงานศพ “แคล้ว” ร.ต.อนุกูล ลูกชาย เปิดใจ ว่า พ่อเป็นคนใจเย็น ไม่ก้าวร้าว ผิดวิสัยคำว่า “เจ้าพ่อ” หากนายแคล้วเป็นเจ้าพ่อจริงและโหดร้าย คงไม่มีใครมางานในคืนนี้อย่างมากมาย และบางคนเดินทางมาไกล มาหลั่งน้ำตาให้พ่อผม
“ผมไม่รู้จริงๆ ระยะหลังพ่อของผมไปเป็นศัตรูกับใคร พ่อเป็นคนรักสนุก กิน เที่ยวผู้หญิง ฟังเพลง ร้องเพลง ถ้าพ่อเป็น “เจ้าพ่อ” จริง คงมีลูกน้องคุ้มกันมาก เหตุการณ์ที่ผ่านมา คงไม่เสียชีวิต เป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างโหดร้าย พวกที่ลงมือต่างหากที่เป็น “เจ้าพ่อ” มากกว่า”
ส่วนเรื่องการพนัน นั้น ยอมรับว่า พ่อชอบเล่น แต่เสียเงิน 300-500 ล้านบาทนั้น ไม่เป็นความจริง และเรื่องเป็นหนี้แล้วไม่ใช้ ยิ่งไม่ใช่ เพราะพ่อเป็นคนรักเครดิต
“ถ้าเงินสดหมด ก็ถอดสร้อย แหวน ทันที หรือถ้าเป็นหนี้มากๆ แล้วไม่ใช้ คงไม่มีใครนับถือ”
นักข่าวถามถึงความอาฆาตแค้น ลูกชายแคล้ว ตอบว่า “ไม่รู้จะไปแค้นเอากับใคร เมื่อถึงวาระที่ต้องตาย ก็ต้องตาย ส่วนปัญหาเรื่องครอบครัว คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะพ่อได้ให้ลูกๆ ทุกคนไว้มากแล้ว"

5 ปม สั่งตาย "แคล้ว ธนิกุล"
1.ปมจากเหตุยิงกันในเดสโก้เธคย่านเพลินจิตร ทำให้นายทหารลูกนายพล คนหนึ่งเสียชีวิต ซึ่งผู้ลั่นไก คือ สห.คนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกน้องนายพล คนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับ นายแคล้ว ทำให้เกิดชนวนความเข้าใจผิด
2.ประเด็นรุมซ้อม ลูกนักการเมือง แล้ว “แคล้ว” เคลียร์ไม่ได้ และนักการเมืองคนนั้น บอกว่า “มึงไปเอาลูกมึงมา”
3.ปัญหาหนี้สินการพนันนับร้อยล้าน ที่ไม่สามารถชดใช้ได้
4.การหักหลัง แย่งชิงความเป็นใหญ่ ในวงการนักเลงเมืองหลวง เพราะต้องการล้ม “แคล้ว ธนิกุล” เพื่อก้าวข้ามศพขึ้นไปเป็นผู้อิทธิพลเหนือคนอื่น
5.เรื่องนี้ถูกเปิดเผยโดยทีมสืบสวน โดยระบุว่า สังเกตจากวิธีการลงมือ ที่ฉับไว ใจเย็น ไม่เกรงกลัวกฎหมาย กลุ่มนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับคนมีสี ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แม้กระทั่งท่านั่งยอง บนท้ายรถกระบะในการยิงถล่ม
สำหรับ บรรดาเจ้าพ่อเมืองหลวง ที่นิยมชุบเลี้ยงมือปืนคนมีสีนั้น ในอดีต ก็มี อดีตนายกสมาคมมวยอาชีพแห่งประเทศไทย ก็คือ “โหงว ห้าพลัง” ซึ่งก็ถูกเด็ดวิญญาณไปแล้ว ที่เวทีมวยลุมพินี เมื่อวันที่ 3 มี.ค.31
ซึ่งผู้ที่ยิง “โหงว ห้าพลัง” ตายครั้งนั้น เทรนเนอร์มวยค่าย ส.ธนิกุล มือขวาของ นายแคล้ว
ซึ่งประเด็นนี้ ในวงการนักเลง โดยเฉพาะ ลูกน้องในสังกัดของ “โหงว ห้าพลัง” ก็คิดว่า ลูกพี่ถูกสั่งเก็บโดยฝีมือ เจ้าพ่อนครบาล เพื่อตัดกิ่งก้านไม่ให้ “โหงว ห้าพลัง” ขึ้นมาเทียบบารมี
ซึ่งนอกจาก “โหงว ห้าพลัง” แล้ว ลูกน้องในสังกัด ก็ยังโดนตามล่าสังเก็บ เพราะกลัวการแก้แค้นแทนลูกพี่ อย่างไรก็ตาม การตามเก็บลูกน้องของ “โหงว” ยังไม่สำฤทธิ์ แต่ นายแคล้ว มาโดนลอบยิงเสียชีวิตก่อน
ซึ่งลักษณะการลงมือครั้งนี้ เชื่อว่าเป็นคนมีสีแน่นอน และถ้าชนวนเหตุมาจากเรื่องนี้ ก็น่าจะเป็นฝีมือของลูกน้องเก่า “โหงว ห้าพลัง” ลงมือแก้แค้นให้ลูกพี่ เป็นการเซ่นไหว้วันเช็งเม้งพอดิบพอดี
นายตำรวจที่ทำคดี สันนิษฐาน...
ขณะที่ ลูกน้องนายแคล้ว ก็ยังปักใจเชื้อว่า สาเหตุที่เป็นชนวนถูกลอบสังหาร มาจาก “จ๊อด เฮาดี้” ที่ได้ลงมือกระทืบลูกนักการเมือง ซึ่งตัวจ๊อดก็รู้ดี เพราะขนาดลูกพี่ยังเอาตัวไม่รอด
มีรายงานด้วยว่า มีกลุ่มชายฉกรรจ์ ขับรถติดฟิล์มดำมืดไปซุ่มดูความเคลื่อนไหวที่บ้านของ “จ๊อด เฮาดี้” แต่เขาขนข้าวของหนีไปก่อน และหลบหน้าไปอยู่ที่ ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา และไม่มีใครทราบข่าวอีก
กระทั่งประเทศไทย มีการเปลี่ยนแปลงโดยคณะปฏิวัติ รสช. “จ๊อด เฮาดี้” จึงกลับมา เพราะคิดว่า “นักการเมือง” หมดอำนาจไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม หลัง “จ๊อด เฮาดี้” กลับเมืองไทยได้ ก็ได้มาหา “เฮียเหลา” เมื่อเฮียเหลา เห็นหน้า “จ๊อด” ก็ตกใจ เพราะไม่คิดว่ากล้ากลับมา เฮียเหลา กับ จ๊อด ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมาก จ๊อด บอกว่ามีธุระ จึงอยู่ไม่นาน
ขณะที่ “เฮียเหลา” เอง รู้สึกไม่สบายใจ เล่าให้กับคนใกล้ชิดว่า การกลับมาของ “จ๊อด เฮาดี้” อาจจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น จากนั้น เพียง 20 วัน หลัง “จ๊อด เฮาดี้” กลับเมืองไทย เฮียเหลา ก็ถูกกลุ่มคนร้ายยิงถล่ม เสียชีวิต
คำถาม คือ ทำไม กลุ่มคนร้ายไม่ตามเก็บ “จ๊อด เฮาดี้” แต่กลายเป็น “เฮียเหลา”
ลูกน้องคนสนิท แคล้ว บอกว่า “จ๊อด เฮาดี้” เหมือนพวกนกรู้ หลบฉากหนีตลอด ขณะที่ “เฮียเหลา” ก็มั่นใจว่าเป็นเรื่องของลูกน้อง ตนไม่เกี่ยวข้องด้วย และไม่มีอะไร
เมื่อจ๊อด กลับมา ก็มาหา “เฮียเหลา” ถ้าไม่ลึกซึ้งกันจริงๆ จะกลับมาหาทำไม ดังนั้น ประเด็นนี้ถูกคู่แค้นมองว่า หากลงมือกับลูกน้องไม่ได้ หัวหน้าก็ต้องรับผิดชอบ
ในความเป็นจริง “เฮียเหลา” ในเวลานั้น ก็เหมือนคนอยู่ในที่แจ้ง จึงมีโอกาสให้คนร้าย วางแผนลงมือ…
สำหรับ “จ๊อด เฮาดี้” หรือ จ๊อด ฮาวดี้ มีชื่อจริงคือ นายสมเกียรติ กองแก้ว อายุ 50 ปี (ณ เวลานั้น) จบโรงเรียนช่างกลปทุมวัน
เริ่มเข้าสู่วงการนักเลง ตั้งแต่วัยรุ่น เพื่อนรุ่นเดียวกัน ที่ตายไปหมดแล้วก็มี “ปุ๊ ระเบิดขวด, ดำ เอสโซ่ แดงไบร์เลย์
จ๊อด ฮาวดี้ เคยเป็นผู้จัดการค่ายมวย ส.ธนิกุล มาก่อน และเป็นที่รู้กันดีว่า สนิทสนมกับนายแคล้วมาก จ๊อด มาเอาดีในการเล่น ไพ่ บาคาร่า และเขามักขอ “เช่า” ช่วงเวลา ในการทำบ่อน และหลายๆ บ่อนก็ให้เขาเป็นเจ้ามือ
แม้ตอนนี้เขาจะอายุ 50 ปี แล้ว ก็จัดอยู่ประเภท เสือไม่ทิ้งลาย สังเกตได้เมื่อ ลูกนักการเมือง ทำตัว “เซ็งบ่อน” ไม่มีใครกล้าแตะ แต่จ๊อด ฮาวดี้ ไม่ยอม เล่นงานจนยำแย่ กลายเป็นชนวนตามล่าล้าง
ซึ่งมีรายงานเพิ่มเติม ว่า “จ๊อด” ได้หลบฉากหนีไปต่างประเทศแล้ว หลังมีคำสั่งฆ่านายแคล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึง “คำสั่งตาย” ที่เหนือเจ้าพ่อ แล้ว “จ๊อด ฮาวดี้” จะเหลืออะไร ขณะที่ “งานศพ” ของนายแคล้ว ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา “จ๊อด ฮาวดี้”
ด้าน พ.ต.อ.คงเดช ชูศรี รอง ผู้บังคับการตำรวจนครบาลเหนือ ผู้ที่เคยจับแคล้วในข้อหาซ่องโจร กล่าวว่า นี่เป็นสัจธรรมของเจ้าพ่อทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ตาม จุดจบเจ้าพ่อมักเป็นรูปนี้เสมอ
อีกอย่างตนเคยเตือนสติแคล้ว เมื่อครั้งที่จับกุม ที่ สน.ดุสิต ว่า อย่าทะนงตัวว่าตัวเองยิ่งใหญ่แค่ไหน มีบริวานมากมายเพียงใด ให้คิดไว้ว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน อำนาจที่มีอยู่ ไม่จีรังยั่งยืน คนดีเท่านั้น จะอยู่รอดได้ในสังคม
ส่วนการตายของนายแคล้วนั้น เป็นเรื่องของกรรมใดใครก่อ ซึ่งเป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องสอบสวนหาคนร้ายต่อไป ...
ในเวลาต่อมา ทางตำรวจ ได้เดินหน้า ตามหา กลุ่มมือปืนกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องสงสัยว่าอาจจะเกี่ยวข้อง โดยมุ่งไปที่ “โกมิ่ง” มือปืนในสังกัดนักการเมืองคนหนึ่ง มีหมายจับของตำรวจท้องที่ต่างๆ ถึง 12 คดี
โดย มือปืนรายนี้ เดิมที ยึดอาชีพโจรปล้นฆ่า เรือญวนอพยพชายฝั่งทะเลตะวันออก และอาจมาเกี่ยวข้อง เพราะมีเพื่อน ของอดีต ส.ส. ขอมา
และมีการคาดการณ์ว่าอาจต้องใช้เงินจ้างถึง 50 ล้าน
สำหรับ พื้นเพ โกมิ่ง คาดกันว่า เป็นชาวบ้านดอนผิงแดด ต.บางขุนไทร อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี เคยก่อคดีครั้งแรกตั้งแต่ปี 2513 คุมพรรคพวกปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ เคยปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกลางทะเลมาแล้ว แต่โกมิ่ง ก็หนีรอดไปได้ และได้ไปอยู่กับนักการเมืองคนหนึ่ง มีมือปืนในสังกัดกว่า 200 คน
อย่างไรก็ตาม หลังสิ้นนายแคล้ว คงในวงการนักเลงก็มีการพูดคุยกัน ว่า “ใคร” จะขึ้นมาแทน ซึ่งก็มีหนึ่งคนที่รู้กันดีว่า แม้นายแคล้ว จะยังมีชีวิต คนๆ นี้ก็สามารถ “เก็บส่วยได้ทุกเดือน เรียกว่า ทำตัวเหนือทุกคนในวงการ และรู้กันดีว่าเขา คือ “มาเฟียเมืองหลวง”
โดยคนที่เก็บเงินถูกเรียกว่า “นายจั๊ว” อย่างไรก็ตาม ก็คงต้องจับตาดูว่า หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
ขณะที่ความคืบหน้าทางคดี พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมตำรวจ ขณะนั้น ให้สัมภาษณ์ว่า จากการสอบพยาน 12 ปาก ไม่มีประโยชน์อะไรกับรูปคดีเลย หลังจากนี้ คงต้องไปตามตัวผู้ที่รอดชีวิต ก็คือ นายราเชนทร์ มาสอบปากคำ
ขณะที่สาเหตุการลอบสังหาร เวลานี้ก็ยังสรุปไม่ได้ ว่ามาจากประเด็นใด ส่วนคนร้ายนั้น ในเบื้องต้นทางตำรวจบอกว่ามี 4 คน...
วันต่อมา ก็มีรายงานความคืบหน้าว่า “คดีฆ่าแคล้ว” อาจเกี่ยวข้องกับ “ตำรวจ” ยศ พันตำรวจโท ซึ่งถือเป็นการฉีกประเด็นจาก วันแรก ๆ ที่มีการสืบสวนสอบสวน
สำหรับประเด็นที่มีการตั้งไว้แต่ต้น และมุ่งไปนั้น คือการซ้อมลูกนักการเมืองของ จ๊อด ฮาวดี้ , การล้างหนี้ที่เกิดจากการพนัน และ ล่าสุด กับประเด็นใหม่ คือ การตายของ “จักร จันทร์เพ็ญ” มือปืน “โต๊ดเถื่อน” ในสนามม้าคนสนิทลูกน้องตำรวจ ยศ พันตำรวจโท ถูกยิงตาย ในพื้นที่ สน.ลาดพร้าว ด้วยฝีมือลูกน้องแคล้ว
ซึ่งคดีนี้ มันส่งผลกระทบโดยตรงถึง วงการสีกากี เพราะ นายจักร ถูกโยงใยถึงนายตำรวจ ยศ พันตำรวจ หลายนาย รวมถึงนายพลด้วย
ดังนั้น คดีนี้ ก็เหมือนกับ “เจอตอ” และมีการคาดการณ์กันว่า หากมีการทำคดีไปสักพัก ทุกอย่างก็จะแพ่วเบาลง และทิ้งปมไปที่ “เจ้าพ่อ” ถูกกำจัด ความสงบจะเกิดขึ้น
ซึ่งปมใหม่นี้เอง ก็พอจะมีน้ำหนัก เนื่องจาก จุดจบของ “แคล้ว” ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในสนามม้า ว่าอาจจะมาจากการ “หักกัน” ในวงอิทธิพลในสนาม้า โดยมี ยศ พันตำรวจโท ผู้หนึ่งในหน่วยสืบนครบาลเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง
คนสนิทของนายแคล้ว เผยว่า เดิมที พันตำรวจโทคนนี้สนิทสนมกับนายแคล้วเป็นอย่างดี โดย พ.ต.ท. คนนี้ ได้ผลงานความชอบจากการปราบปรามมือปืน ก็เพราะมี นายแคล้ว เป็นสายให้
ประกอบกับกิจการ “โต๊ดเถื่อน” ในสนามม้า ก็จำเป็นต้องพึ่งพากัน ทั้งสองจึงถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
ต่อมาความกลมเกลียวเกิดรอยร้าว เมื่อเกิดมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ ที่สำคัญคือ ม้า 2 ตัว ของ พ.ต.ท. ที่ซื้อมาราคานับล้านบาท กลับถูก กรรมการตัดสิทธิ์ ห้ามลงแข่ง ในสนามม้าในกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็น “ม้าชั้นต่ำ”
พ.ต.ท. คนนี้ คิดว่า มีนายแคล้ว อยู่เบื้องหลัง เนื่องจากเป็น กรรมการร่วมพิจารณาม้าแข่งด้วย จึงกลายเป็นรอยความแค้น เพราะสูญเสียเงินจำนวนมาก โดนหักเหลี่ยมในวงการม้าแข่ง
กระทั่ง กลางปี 2533 “จักร จันทร์เพ็ญ” สมุนคู่ใจ พ.ต.ท. ถูกคนร้ายยิง และมาสืบรู้ว่า อาจถูกโยงถึงลูกน้องซึ่งอยู่ในอาณัติของนายแคล้ว แต่ พ.ต.ท. คนนี้ก็ไม่กล้าทำอะไร ได้แต่สั่งสมไฟแค้น
นอกจากนี้ ยังมี ตำรวจยศ พล.ต.ต. คนหนึ่ง ได้ลงทุนถึง 5 ล้านบาท ถูกโยงใยกับ “ตี๋ ปลาหมึก” นักเลงที่อาจหาญเปิดบ่อน และพยายามทาบรัศมี นายแคล้ว
แต่สุดท้ายก็ถูกคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงถล่ม ทำให้ การลงทุนดังกล่าว จึงสูญเปล่า... กลายเป็น ความแค้นของ พ.ต.ท. และ พล.ต.ต. จึงตามเล่นงาน “แคล้ว” ในทางคดี ซึ่งต่อมา “แคล้ว” ก็ถูกจับในข้อหา “ซ่องโจร”
ในเวลาต่อมา ก็เป็นเวลาประจวบเหมาะ เหมือน อำนาจ และ อิทธิพลของ “แคล้ว” เริ่มลดลง คณะ รสช. ทำการประกาศจัดการกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลอีก
“แคล้ว” ก็อยู่ 1 ใน 7 รายชื่อ กลุ่มคนมีสีบางคน จึงส่งซิกไปยัง “ลูกน้อง” ของแคล้ว ว่า หากไม่อยากตาย ก็ให้อยู่ห่างไว้ ทำให้กลุ่มมือปืนของแคล้วกลัวหัวหด จากนั้นค่อยเริ่มแผนต่อมา
จากนั้น พ.ต.ท. คนนี้ก็รวบรวมลูกน้องมือดี วางแผน ทำงานใช้รถ 3 คัน ตามที่มีพยานบอก
รถคันแรก ถูกวางงาน ให้สะกดรอย ตั้งแต่สนามกีฬา ส่วนคันอื่นก็ตามเป็นระยะ โดยมีการสื่อสารผ่านวิทยุ
ชะตาของ นายแคล้ว เกือบรอดพ้นการเป็นเหยื่อ เมื่อรถเก๋งมรณะสีดำ ที่คนร้ายใช้ยิงถล่มรอบสอง นั้น ถูกตำรวจ สน.ดินแดง ดักจับเสียก่อน ซึ่งการตรวจค้น ไม่ทราบว่าเจออะไรหรือไม่ แต่จู่ๆ ก็มีคำสั่ง จากไหนไม่รู้ให้ปล่อยรถคันนั้น
คนที่ใกล้ชิดนายแคล้ว คนหนึ่ง ซึ่งถือเป็นพยานในเหตุการณ์ เล่าให้นักข่าวฟังว่า วันที่เกิดเหตุ ได้ขับรถส่วนตัวไปธุระที่ จ.สมุทรสาครเช่นกัน
ขณะที่ขับมาเรื่อยๆ ก็พบรถนายแคล้ว ขับแซงหน้าไป ชั่วครู่ใหญ่ก็มีรถ กลุ่มมือปืน 3 คัน เป็นรถเก๋งแต่งซิ่ง โหลดเตี้ย และปิกอัพ 2 คัน ขับแซงซ้าย และแซงขวา อย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็ลงมือยิงถล่มรถแคล้วอย่างเป็นระบบ
จากนั้น จึงขับรถไปจอดด้านหลังเพื่อดูเหตุการณ์ โดยรถของกลุ่มคนร้ายขับออกไป ทันใดนั้น เห็นนายราเชนทร์ ซึ่งรอดตายอย่างปาฏิหารย์ กระเสือกกระสนออกมาจากรถ จึงเข้าไปประคองมาไว้ที่รถ
ระหว่างนั้น จะกลับไปดูนายแคล้ว แต่รถของคนร้าย ได้ขับไปที่ปั้มน้ำมัน ห่างประมาณ 100 เมตร แล้วมุ่งกลับมา จากนั้น หนึ่งในคนร้ายได้เห็น จึงชูระเบิดให้ดู เพื่อข่มขู่ เพราะคิดว่าเป็นพลเมืองดี โดยไม่รู้ว่านายราเชนทร์ หลบอยู่ในรถ จากนั้น คนร้ายก็ปาระเบิดใส่รถ แต่ไม่ทำงาน จากนั้นคนร้ายก็ขับรถหลบหนี
10 เมษายน 2534 พล.ต.ต.ทวี ทิพย์รัตน์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาลใต้ ในขณะนั้น ออกมาให้สัมภาษณ์ พร้อมบอกถึงความไม่สบายใจว่า ที่ผ่านมา ถูกแหล่งข่าวซึ่งเป็นลูกน้องแคล้วให้สัมภาษณ์ใส่ร้าย
ที่ผ่านมา คอยตามดูพฤติกรรมนายแคล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้พวกนี้ไปก่อเหตุที่ผิดกฎหมาย และได้เชิญตัวพวกมือปืนบางคนมาคุยด้วย พร้อมกับขอให้เลิกพฤติกรรมในแง่ไม่ดี และยังกวดคันดูแลอย่างใกล้ชิด เป็นไปได้ ที่ทำให้คนเหล่านี้ไม่พอใจ เมื่อมีโอกาสจึงใส่ร้ายป้ายสี
“ผมจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ตำแหน่งผมระดับยศ พล.ต.ต. จะไปสั่งฆ่าคนได้อย่างไร ที่พูดถึงผม ก็พูดในทางที่ไม่ดีมานานแล้ว แต่เมื่อพิสูจน์แล้ว ผมก็บริสุทธิ์ สะอาด ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยเลย”
ด้าน พล.ต.ต.ธนู หอมหวล รอง ผบช.น. กล่าวในประเด็นนี้ว่า ถ้ามีตำรวจเกี่ยวข้องผมต้องรู้ กองบัญชาการตำรวจนครบาลเหนือ ใต้ และ ธนฯ จะมีชุดเฉพาะกิจเกี่ยวกับมือปืนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ดังนั้น จึงคิดว่าเป็นไปไม่ได้
ส่วน พ.ต.ท. ที่มีการกล่าวอ้างนั้น คนในวงการตำรวจก็รู้ว่าเป็นใคร แต่เชื่อว่าไม่เกี่ยวข้อง เพราะเขาเป็นนักเพาะม้าขายต่างประเทศ ไม่ใช่คนเล่นม้า
ส่วนกรณี “จักร จันทร์เพ็ญ” พ.ต.ท. คนนี้ก็อยู่ในทีมร่วมคลี่คลายคดี เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ด้วย

เมียแคล้ว บอก "ตายฟรี" ตายแทนคนอื่น
ด้านเมียของ “แคล้ว” ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่เชื่อว่า เรื่องหนี้สิน และการพนัน จะเป็นประเด็นในการสังหาร รวมถึงเรื่อง รสช. ด้วย
“พี่คิดว่าถึงคราวซวยของคุณแคล้วมากกว่า ต้องมาตายแทนคนอื่นเขา แม้คุณแคล้วเอง ช่วงระยะหลังนี้ ไปไหนมาไหน ไม่ได้ไปคนเดียว แต่ไปด้วยรถคันเดียว เพราะคิดว่าไม่มีศัตรูแล้ว ทางการแจ้งเรื่อง “บัญชีดำ” ก็เข้าไปมาแล้ว น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดมากกว่า”
ส่วนเรื่อง พ.ต.ท. นั้น เมียแคล้ว บอกว่า ไม่แน่ใจ ไม่น่าจะเป็นเรื่องนี้ เพราะเป็นปฏิบัติการชุดใหญ่เหลือเกิน...
ต่อมา ตำรวจได้ตามไปรวบตัว นายราเชนทร์ ลูกน้องของแคล้ว และพยานคนสำคัญ ซึ่งจากการสอบปากคำ 3 ชั่วโมง ในสภาพห้อยสายน้ำเกลือ
พล.ต.ท.สนั่น ตู้จินดา ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ เผยว่า นายราเชนทร์ อ้างว่าไม่เห็นมือปืน ส่วนรายละเอียดเหตุการณ์ เล่าเหมือนครั้งแรก คือ นายราเชนทร์นั่งเบาะหลัง เพราะต้องถือช่อดอกไม้
หลังมีการยิงกัน รู้สึกว่าตัวเองโดนยิงที่ขาจึงฟุ่บหมดสติ เมื่อเสียงปืนเงียบ ก็ลงรถ เปิดท้ายรถออกมา พอดีพบคนผ่านมา จึงขออาศัยไปส่งที่คลินิก จากคลินิก ก็โทรหาญาติให้มารับตัว ก็ทั่งถูกตำรวจตามมาพบตัว
“นายราเชนทร์ทร์ รู้สึกกลัวมาก สำหรับมือปืนนั้น…ไม่ทราบว่าเป็นใคร เพราะหมอบอยู่กับพื้นตลอดเวลาจึงไม่เห็นใคร ส่วนสาเหตุนั้น นายราเชนทร์ได้ให้ข้อมูล ซึ่งเป็นประโยชน์กับทางตำรวจ แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ แต่คดีนี้ถือว่ากระชับเข้ามาแล้ว” พล.ต.ท.สนั่น เล่า สิ่งที่นายราเชนทร์ ถ่ายทอด
ต่อมา นักข่าวได้มีโอกาสสอบถาม นายราเชนทร์ โดยมี พล.ต.ท.สนั่น ยืนควบคุมอย่างใกล้ชิด
นายราเชนทร์ทร์ กล่าวย้ำว่าไม่เห็นตัวคนร้าย ส่วนเรื่องการเสียพนัน ของ “แคล้ว” นั้น ราเชนทร์ ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง ทั้งบ่อนต่างประเทศ และในประเทศ ย่านประตูน้ำ
นักข่าวพยายามถามถึงสาเหตุการสังหารนายแคล้ว พล.ต.ท.สนั่น รีบตัดบท ทันที จากนั้น นายราเชนทร์ ก็พูดถึงการรักษาตัวว่า ตอนนี้มีกระสุนฝังที่สะโพก เอาออกมาไม่ได้ เพราะหาเอาออก อาจเกิดเนื้อเยื่อฉีก พิการได้
ขณะเดียวกัน หลังจากนี้ ก็จะขอกลับบ้านไปรักษาตัว โดยจะให้มีตำรวจคุ้มกัน
ซึ่งเพียงวันเดียว ทางตำรวจ ก็ให้นายราเชนทร์ทร์ กลับบ้าน
ขณะที่ ทางตำรวจเองก็มีการสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องหลายปาก กระทั่ง มีการเปิดเผยต่อมา ว่า ได้มีการสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว เหลือเพียง พยานแวดล้อม แต่ถึงเวลาจริงๆ พยานเหล่านั้น กลับหายหน้าไปจนหมดสิ้น
ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็คือ เหตุการณ์ที่ถูกบันทึก “แคล้ว ธนิกุล” ที่ถูกปิดบัญชี ในฐานะ “เจ้าพ่อนครบาล” กับข่าวลือเกี่ยวกับสมเด็จวัดระฆัง ซึ่งบ้าง ระบุว่า แคล้ว อมไว้ในปาก เมื่อถูกถล่ม พุทธคุณช่วย และทำให้พระหายไป บ้างก็เชื่อว่า ถูกขโมยไป หรือ เก็บไว้โดยบุคคลบางคนที่ใกล้ชิด
ส่วนเรื่องคดี จนถึง บัดนี้ก็ยังไม่สามารถจับกุมคนร้าย หรือ คนบงการสั่งตายได้...
You might be intertested in this news.
Mostview
ลงมือทำย่อมดีกว่าเอาแต่พูด! จุดกำเนิดความสำเร็จ Walkman (ชมคลิป)
ลงมือทำย่อมดีกว่าเอาแต่พูด! จุดกำเนิดความสำเร็จ Walkman (ชมคลิป)
แผนฟื้นฟู Back to Starbucks เพราะจิตวิญญาณคือกาแฟ (ชมคลิป)
แผนฟื้นฟู Back to Starbucks เพราะจิตวิญญาณคือกาแฟ (ชมคลิป)
แนวโน้มราคาทองคําวันนี้(1ต.ค.68) เก็งกําไรระยะสั้น
แนวโน้มราคาทองคําวันนี้(1ต.ค.68) เก็งกําไรระยะสั้น
แนวโน้มราคาทองคําวันนี้(30ก.ย.68) เก็งกําไรระยะสั้น
แนวโน้มราคาทองคําวันนี้(30ก.ย.68) เก็งกําไรระยะสั้น
รีวิว “Osiris” มฤตยูล้างพันธุ์มนุษย์
รีวิว “Osiris” มฤตยูล้างพันธุ์มนุษย์ หนังแนวสงคราม แบบยิงกันหูดับตับไหม้ ไฟท์กับมนุษย์ต่างดาว ...
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
