รมว.กต. นำคณะทูต-องค์กรนานาชาติ ลงพื้นที่ศรีสะเกษ ติดตามสถานการณ์ทุ่นระเบิดชายแดน ยืนยันไทยตรวจพบทุ่นระเบิด PMN2 จนทำให้กำลังพลเหยียบบาดเจ็บ 5 นาย แม้หลังหยุดยิงก็พบการวางอยู่ และมีหลักฐานยืนยันทหารกัมพูชาเป็นผู้วาง ขณะที่ปฏิเสธร่วมกู้ทุ่นระเบิดกับไทย

เมื่ออวันที่ 16 ส.ค. 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ และองค์กรภาคประชาสังคมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา

พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวระหว่างการบรรยายสรุปว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงมีท่าทีบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำอาวุธทุ่นระเบิดมาใช้โจมตีฝ่ายไทย โดยพยายามปฏิเสธหลักฐานที่มีอยู่อย่างเป็นระบบ ทั้งอ้างว่าหลักฐานที่ฝ่ายไทยนำเสนอเป็นการจัดฉาก หรือเป็นเพียงระเบิดตกค้างจากสงครามในอดีต ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง กองทัพบกจึงจำเป็นต้องยืนยันหลักฐานเพื่อแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาได้ใช้ทุ่นระเบิดโจมตีฝ่ายไทยจริง โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

1. รูปแบบการปฏิบัติทางยุทธวิธี – ทุกครั้งที่กัมพูชาวางกำลัง บริเวณด้านหน้าจะพบแนวทุ่นระเบิดเป็นแนวป้องกัน เช่น ช่องบก (16 ก.ค.) ช่องอานม้า (23 ก.ค.) ปราสาทตาควาย (28 ก.ค.) ฐานกฤษณา (9 ส.ค.) และปราสาทตาเมือนธม (12 ส.ค.) โดยกำลังพลไทยที่ประสบเหตุพบว่าในพื้นที่มักมีทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่มเติมอีก 3–5 ลูก ทั้งที่ระเบิดแล้วและยังไม่ระเบิด ซึ่งถูกวางอย่างเป็นระบบ
2. ผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ – มีเพียงฝ่ายไทยและกัมพูชา แต่เหตุการณ์ทั้งหมด 5 ครั้ง มีเพียงฝ่ายไทยที่ได้รับผลกระทบ จึงไม่อาจเป็นไปได้ว่าไทยจะทำร้ายกำลังพลของตนเอง
3. การตรวจพบเพิ่มเติมหลังหยุดยิง – การสถาปนาความมั่นคงโดยทหารช่างที่ภูมะเขือ (4 ส.ค.) พบการซุกซ่อนทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวนมากในแนวกำลังเดิมของฝ่ายกัมพูชา
4. หลักฐานจากสื่อสังคมออนไลน์ – พบภาพอินฟลูเอนเซอร์กัมพูชาที่ไปถ่ายทำคอนเทนต์บริเวณปราสาทตาควาย โดยมีพวงทุ่นระเบิด PMN-2 ปรากฏอยู่ในภาพ
5. ข้อมูลจากแหล่งข่าว – มีคลิปพร้อมเสียงสนทนาของทหารกัมพูชาที่กำลังเก็บและเคลื่อนย้ายทุ่นระเบิด PMN-2 เพื่อไปวางในพื้นที่ใหม่
6. ท่าทีในเวที GBC – กัมพูชาไม่ยอมรับข้อเสนอของไทยในการร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด ทั้งที่กัมพูชามีภาพลักษณ์ในสายตานานาชาติว่าเป็นประเทศต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิด และได้รับทุนสนับสนุนจำนวนมากในแต่ละปี
7. การเก็บกู้ในพื้นที่เสี่ยงแล้วเสร็จ – TMAC เคยเก็บกู้ทุ่นระเบิดตกค้างที่ช่องบกและช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ.2019 จำนวน 1,300 ลูก และไม่พบว่ามีทุ่นระเบิดชนิด PMN-2
8. การไม่ให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ – TMAC ระบุว่าฝ่ายกัมพูชามักไม่ให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในหลายพื้นที่ใกล้แนวเส้นเขตแดน ซึ่งเป็นข้อพิรุธที่สะท้อนถึงความไม่โปร่งใสของฝ่ายกัมพูชา

พลตรี วินธัย กล่าวด้วยว่า หลักฐานที่ฝ่ายไทยนำเสนอทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้ และมีความจำเป็นต้องเผยแพร่ต่อประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อให้เห็นชัดเจนว่ากัมพูชาได้ใช้อาวุธทุ่นระเบิดโจมตีฝ่ายไทยจริง ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรมและพันธกรณีระหว่างประเทศ.

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

The Minister of Foreign Affairs leads the Diplomatic Corps and international organizations to Sisaket Province to monitor the border landmine situation.

16 August 2025 – The Minister of Foreign Affairs led a delegation of diplomats from ASEAN member countries, State Parties to the Ottawa Convention, representatives from international organizations, and civil society organizations involved in landmine clearance to Sisaket Province to receive briefings on the tense situation along Thailand-Cambodia border.

Major General Winthai Suvaree, Army spokesperson, stated during the briefing that Cambodia continues to maintain a stance of distorting facts regarding the use of landmine weapons to attack Thai forces, systematically attempting to deny existing evidence by claiming that evidence presented by Thailand is staged or merely remnants from past wars, which is inconsistent with the facts. The Royal Thai Army therefore finds it necessary to affirm evidence to demonstrate that Cambodia has indeed used landmines to attack Thai forces, with the following key points:

1. Tactical Operational Pattern – Every time Cambodia deploys forces, landmine defensive lines are found in front positions, such as at Chong Bok (16 July 2025), Chong Anma (23 July 2025), Ta Kwai Temple (28 July 2025), Kritsana Base (9 August 2025), and Ta Muen Thom Temple (12 August 2025). Upon encountering incidents, Thai personnel discovered a systematic placement of additional 3-5 PMN-2 landmines, both exploded and unexploded, in these areas.
2. Involved Parties in the Area - Only Thai and Cambodian forces are present, yet in all 5 incidents, only Thai forces were affected. Therefore, it is impossible that Thailand would harm its personnel.

3. Additional Discoveries After the ceasefire, security establishment operations by engineer troops at Phu Ma Khuea (4 August 2025) discovered numerous concealed PMN-2 landmines along former Cambodian force positions.
4. Evidence from Social media - Images were found of Cambodian influencers creating content near Ta Kwai Temple, with clusters of PMN-2 landmines visible in the photographs.
5. Intelligence Sources – Audio clips with conversations of Cambodian soldiers collecting and relocating PMN-2 landmines for placement in new areas.
6. Stance at the GBC Forum – Cambodia refuses to accept Thailand's proposal for joint landmine clearance operations, despite Cambodia's international image as a country opposing landmine use and receiving substantial annual funding support.
7. Completed Clearance in Risk Areas – TMAC previously completed clearance of remnant landmines at Chong Bok and Chong Anma, Nam Yuen District, Ubon Ratchathani Province, in 2019, totaling 1,300 devices, with no PMN-2-type landmines discovered.
8. Non-cooperation in Clearance Operations – TMAC indicates that Cambodia frequently fails to cooperate in landmine clearance operations in several areas near the border demarcation line, which suggests suspicious behavior and reflects a lack of transparency on Cambodia's part.

Major General Winthai emphasized that all evidence presented by Thailand consists of verifiable facts that must be disseminated to the international community to clearly demonstrate that Cambodia has indeed used landmine weapons to attack Thai forces, constituting actions contrary to humanitarian principles and international obligations.