น้ำตาพระ สละผ้าเหลือง สึกเจ้าคุณอุดม ตำนานคดีเครื่องราชฯ (คลิป)
by Trust News, 28 พฤษภาคม 2568
ย้อนรอยคดีในตำนาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ กับการถอดผ้าเหลืองของพระเถระผู้ใหญ่ ที่บวชมานานถึง 46 พรรษา ของ “เจ้าคุณอุดม" อดีตรองเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์ ที่ต้องลาสิกขาออกมาสู้คดี และการรักษา “พุทธศาสนา” ไม่ให้มัวหมองติดตัวไปกับตนเอง ซึ่งสุดท้ายในคดีจบลงอย่างคาดไม่ถึง …
หากจะมองอย่างผิวเผินนั้น ศาสนาพุทธนั้น มีองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่าง รวมกันเรียกว่า “พระรัตนตรัย” นั้น คือ พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์
2 อย่างแรกนั้น ไม่อะไรให้ “เคลือบแคลง” สงสัย
มีเพียง ข้อที่ 3 เท่านั้น หรือ ก็คือ พระสงฆ์ อันหมายถึง “สาวก” ของพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติธรรมและเผยแพร่ศาสนา
และก็มีจำนวนหนึ่งที่ ที่ทำให้ศาสนามัวหมอง เพราะหลงมัวเมา ไปกับสิ่งยั่วยุ เดินทางผิด เฉกเช่น อย่างกรณี “ทิดแย้ม” กับเงิน 800 ล้าน ซึ่งจะจบยังไง คงต้องรอกระบวนการยุติธรรมดำเนินไป
ในอดีตนั้น ก็มีคดีใหญ่เกี่ยวกับพระ ระดับ “เจ้าคุณ” เฉกเช่น ยุคนี้ แต่กรณีที่กำลังจะเล่านี้ ร้ายแรงกว่าการ “ยักยอกทรัพย์” เพราะเกี่ยวข้องกับเบื้องสูง ด้วยกระบวนการ “ปลอมใบอนุโมทนาบัตร” เพื่อขอ “เครื่องราชอิสรยาภรณ์ ที่คือ เครื่องหมายของการทำดี
คดีนี้ เป็นคดีตัวอย่าง ของวงการผ้าเหลือง โดยเฉพาะประเด็น การถอดผ้าเหลือง สึกพระ จะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ...
เอาล่ะ เกริ่นมายืดยาว เราเข้ามาเรื่องกันเลยดีกว่า
คดี “เครื่องราชฯ” เริ่มต้นในช่วง ปลายปี 2529 มีรายงานข่าว จากสำนักนายกรัฐมนตรี ถึง การไล่ตรวจสอบการบริจาคเงิน เพื่อขอรับ “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ชั้นต่างๆ ซึ่ง ภายในปีนั้น มีการขอเครื่องราชกว่า 750 ราย
มีการบริจาคเงิน เป็นจำนวน 1,400 ล้านบาท แต่...การบริจาคเงินดังกล่าว นั้นกลับพบพิรุธ เมือมีการสุ่มตัวอย่าง ปรากฎว่า มีการทุจริต อย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้น
เพราะผู้บริจาคตามใบอนุโมทนาบัตรแจ้งว่า “ไม่เคยได้บริจาคเงินดังกล่าวเลย” แต่ในใบอนุโมทนาบัตร กลับระบุว่า มีการบริจาคเงินให้วัดหลวง 2 แห่ง แห่งหนึ่ง 3 ล้าน อีกแห่งหนึ่ง 62 ล้าน
เรื่องนี้ มีการรายงานไปถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี และ นายมารุต บุนนาค รมต.ศึกษาธิการ ในขณะนั้น
ซึ่งนายกฯ แสดงความไม่พอใจอย่างมาก ยืนยันว่าจะติดตามผู้เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด
ต้นเรื่องอื้อฉาว เพราะมี พ่อค้า คหบดี บางคน ได้รับเครื่องราชฯ ด้วยวิธีการนี้ แล้วไปโอ้อวด ซึ่งอาจทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ
แล้วเมื่อตรวจสอบกลับพบว่ามีการปลอมใบอนุโมทนาจำนวนมาก....

นายมารุต บุนนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ได้สั่งให้นายสมาน แสงมลิ ปลัด กระทรวงศึกษาตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ถ้าพบว่ามีความผิด จะลงโทษอย่างเด็ดขาด!
นักข่าวถามนายมารุต ว่า การปลอมแปลงนี้ ทำโดยคนนอกหรือคนใน นายมารุต ตอบว่า อาจเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง ถ้าเป็นคนในอาจทำไปเพราะความประมาท เรื่องนี้ต้องสอบสวนให้ทราบข้อเท็จจริง
วัดหลวงวัดหนึ่ง ที่ถูกอ้างว่ามีการบริจาค 62 ล้านบาท ได้ตรวจสอบในเวลาต่อมา พบว่า วัดที่ถูกแอบอ้างคือ วัดเบญจมบพิธ พระพุทธิวงศ์มุนี เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิธ ในฐานะกรรมการมหาเถรสมาคม เปิดเผย ว่า
“นับตั้งแต่วัดนี้สร้างขึ้นมา วัดไม่เคยขอเครื่องราชฯให้กับใครเลย เพราะไม่มีผู้มีจิตศรัทธาคนใดบริจาคถึง 6 ล้านบาท และการบูรณะวัดนั้น เราเคยบูรณะครั้งใหญ่ไปแล้ว เมื่อปี 2527 ไม่ตรงกับใบประกาศเกียรติคุณ ที่ออกให้กับผู้ปลอมแปลงเอกสาร 10 ราย ซึ่งถูกระบุว่าบริจาคเมื่อปี 2529”
6 มกราคม 2530 นายสมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น แถลงข่าวว่า จากการตรวจสอบรายชื่อ 753 รายชื่อ มี 332 รายชื่อที่ไม่ได้มีการบริจาคจริง
เมื่อลงลึกในรายละเอียด ปรากว่า มีเจ้าหน้าที่บกพร่องไม่ได้ตรวจสอบหลักฐาน จึงได้มีการสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงกับข้าราชการ 10 คน ใน 3 กรม สั่งย้ายผู้อำนวยการ 3 กอง ด้วย
ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า มีรายชื่อปลอมแปลงประกาศเกียรติคุณกว่า 100 ราย วงเงิน กว่า 400 ล้านบาท..
ในช่วงเริ่มต้นของคดีนั้น ข้อมูลต่างๆ มาจากการสัมภาษณ์ และการเปิดเผยของแหล่งข่าว แต่ยังไม่ได้ดำเนินคดีกับใคร แม้จะเริ่มมีตัวละครต่างๆ ปรากฎมาบ้างแล้ว ขณะที่บางคนก็ร้อนตัว ไปแจ้งความว่าตัวเองถูกปลอมลายเซ็นต์ก็มี
พล.อ.เปรม กล่าวเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2530 ว่า การปลอมแปลงประกาศเกียรติคุณบัตร เพื่อขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ นั้น เป็นเรื่องของคนคิดโกงพูดกันยาก เพราะเป็นเรื่องของจิตสำนึกของแต่ละคนว่าจะทำดีหรือเลว ซึ่งจับกันยาก ก็ต้องตามไล่จับกันจนเหนื่อยหน่อย แต่เหนื่อยก็ไม่เป็นไรถ้าจับได้ แต่ถ้าจับไม่ได้ก็เหนื่อยแย่…”

นักข่าวถามว่า จะเอาเครื่องราชฯ คืนจากผู้ที่ได้รับไม่ถูกต้อง ได้หรือไม่ นายกฯ เปรม ตอบว่า “ทำไม่ได้”
แล้วถ้าแก้กฎหมายเพื่อเอาคืนล่ะ พล.อ.เปรม ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นคงทำได้”
ต่อไปคงต้องงดให้เครื่องราชฯ กัน แล้วให้อย่างอื่น เป็นเครื่องตอบแทนคุณงามความดี แทนจะดีหรือไม่...
แค่เพียง ไม่กี่วัน ที่นายกฯ พูดเรื่องนี้ นายมารุต รมว.ศึกษาธิการ ก็ลงนามคำสั่ง ตั้งคณะกรรมการกำหนดมาตรการขอพระราชทานเครื่องราชฯ ด้วยบุคคล 7 รายชื่อ ซึ่งแต่ละรายชื่อนั้น ถือว่าทำงาน หรือ เคยทำงานในตำแหน่งสำคัญ เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, รัฐมนตรีว่าการ และ รองปลัด กระทรวงศึกษาธิการ, อดีตผู้พากษาศาลฎีกา, อนุกรรมการ ป้องการและปราบปรามการประพฤติมิชอบในวงราชการ เป็นต้น
โดยเป้าหมายการตั้งกรรมการชุดนี้ คือ 1.แสวงหาข้อเท็จจจริงในการบริจาคทรัพย์สินเพื่อขอพระราชทานเครื่องราชฯ 2.หาข้อเท็จจริงการออกประกาศเกียรติคุณ 3.กำหนดมาตรการป้องกันการประพฤติมิชอบในการรับบริจาค
มีผล 3 กุมภาพันธ์ 2530
คดีนี้ พล.อ.เปรม ได้สั่งตรวจสอบย้อนหลัง 5 ปี...
นายสัมพันธ์ ทองสมัคร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษา ซึ่งถือเป็นหนึ่งที่มีชื่อในลายเซ็นต์ปลอม จากการบริจาคเงินของวัดๆ หนึ่งว่า
จากการสอบสวนใบอนุโมทนบัตรปลอมนั้น มีการทำเป็นขบวนการ มี “เจ้าอาวาส” วัดหนึ่ง มาขอให้เจ้าอาวาสอีกวัดออกใบอนุโมทนาบัตรให้ โดยที่วัดไม่ได้รับเงิน แสดงให้เห็นว่ามีมูลของการปลอมแปลงเอกสารในระดับวัด
ส่วนที่ตนเซ็นต์ ใบประกาศ ว่าใครก็ตามที่มานั่งในตำแหน่ง ก็ต้องเซ็นตามระเบียบ ทั้งนั้น เรื่องนี้ความผิดไม่ถึงตนแน่ แม้แต่ปลัดกระทรวงก็ตาม
เพราะเขตก็เชื่อตามวัด ทางกรมก็ต้องเชื่อตามเขต เพราะไม่เชื่อเจ้าหน้าที่ในท้องที่แล้วจะเชื่อใคร...
11 กุมภาพันธ์ 30 พ.ต.อ.ฐิติ ตะคะภัฎ ผู้กำกับ 6 กองปราบปราม ได้เดินทางไปวัดเทพศิรินทร์ฯ เพื่อสอบปากคำ และนำหลักฐานใบอนุโมทนาบัตร ซึ่งออกโดย มูลนิธินวมราชานุสรณ์ มาให้พระราชปัญญาโกศล หรือ เจ้าคุณอุดม ดู เพื่อตรวจสอบกับต้นขั้วว่าตรงกันหรือไม่
พระราชปัญญาโกศล ไม่สามารถเอาต้นขั้วมาให้ดูได้ โดยบอกว่า อยู่กับคณะทำงาน ซึ่งเป็นผู้ช่วยมูลนิธิ ในการขอประกาศเกียรติคุณกับกระทรวงศึกษาธิการ โดยขอเวลาติดต่อบุคคลเหล่านั้นสักระยะ
โดยก่อนที่จะเดินทางกลับ พระราชปัญญาโกศล ได้กล่าวกับนักข่าวมติชน ซึ่งติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นว่า

“ตลอดเวลาที่ได้มา ก็ทำไป จะมาเอาหลักฐานอะไร ไม่มีหรอก เราเหมือนคนขับรถคันใหญ่ ใครจะขึ้นลง ยังไงเราไม่รู้ เราใส่ผ้าขาว ถ้ามีจุดดำสักนิดหน่อย ก็ไม่น่าแปลกอะไร ใครที่จะดึงศาสนาลงมาให้ต่ำก็เรื่องของเขา เพียงแต่ขอร้องอย่าเอาศาสนามายุ่งเกี่ยวกันเลย ภายในวัดก็ยุ่งอยู่แล้ว มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก อาตมาก็แย่อยู่แล้ว…”
ไม่รู้ว่าปัญหายุ่งยากที่เกิดขึ้นนี้มาได้ยังไง เพราะทำงานลักษณะนี้มา 20 ปีกว่าแล้ว เพิ่งมายุ่งยากในปีนี้เอง
การขอพระราชทานเครื่องราชฯ นั้น มีพนักงานธนาคารหนึ่ง เป็นผู้ติดต่อกับกรมการศาสนา
เขาให้เซ็นอาตมาก็เซ็นเรื่อยๆ บางครั้งอาจจะไม่ได้ดูก็ได้...
อาตมาว่า เรื่องนี้เรื่องใหญ่นะ บอกตรงๆว่า เจ้าหน้าที่ระหว่างทาง ต้มเราเสียจนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว...” พระราชปัญญาโกศล กล่าว อย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อยิ่งตรวจสอบ ก็ยิ่งพบความผิดปกติ เมื่อไปพบว่า มีการปลอมลายเซ็น แม้กระทั่งของ พล.อ.เปรม
รายงานข่าว ระบุว่า คนที่จะเข้ามาขายเครื่องราชฯ นั้น จะแต่งตัวภูมิฐาน เข้ามาตีสนิท อ้างตัวว่าเป็นคนกว้างขวาง พยายามช่วยเหลือในการติดต่อธุรกิจ เมื่อสนิทกันแล้ว ก็จะเสนอเครื่องราชฯ ให้ โดยแต่ละชั้น ก็มีราคาแตกต่างกัน
ตั้งแต่ราคา 30,000 บาท ถึง 3 แสนบาท ซึ่งถ้าเทียบเป็นเงินในสมัยนั้น ถือว่าเป็นราคาที่สูงมาก
คดีนี้มีการแบ่งการสอบสวนออกเป็น 2 ทางหลัก คือ ด้านวินัยและอาญา ซึ่งทางอาญาก็เป็นหน้าที่ของตำรวจ ขณะที่ทางวินัย ก็มีการสอบสวนกันไป
ในวันที่ 21 มิ.ย.2530 ก็มีผลการตรวจสอบในทางวินัย
จากที่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน ข้าราชการ 10 คน ผลปรากฎว่า ข้าราชการทั้ง 10 คนนั้น มิได้กระทำผิดวินัยร้ายแรง ตามที่ถูกกล่าวหา และมิได้กระทำการในทางไม่สุจริตแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ผลการสอบสวนดังกล่าว ออกมา ก็ทำให้เกิดวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะประเด็น ข้าราชการบางคนที่ถูกกล่าวหาว่าพัวพันด้วย แต่ไม่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ในทางคดีวินัย ก็ได้เงียบลง แต่คดีทางอาญา นั้น กลายเป็นข่าวโด่งดังขึ้นในวันที่ 29 ตุลาคม 2530
หลังจากหนังสือพิมพ์การเมืองตามติดเรื่องนี้ ก็ถึงคิวหนังสือพิมพ์หัวสี ขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ขึ้นข่าวใหญ่ ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม 2530
คดีทุจริตเครื่องราชฯ ดังสนั่นเมือง จับเจ้าคุณอุดม อดีต รัฐมนตรีช่วยขุนทอง พบหลักฐานใบอนุโมทนาบัตร เงินบริจาค 1,400 ล้าน
คดีนี้ นี้ “กรมตำรวจ” ได้ขออนุมัติหมายจับกุมผ่านกระทรวงมหาดไทย ไปสู่การพิจารณาถึงระดับนายกรัฐมนตรีได้รับอนุมัติหมายจับกุม
ปฏิบัติการบุกจับกุมครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่เวลา 07.00 น. วันที่ 29 ตุลาคม 2530 โด ทางตำรวจได้เดินทางจับกุม นายขุนทอง ภูผิวเดือน อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างปี 2523 -2526 เนื่องจากมีหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นผู้เซ็นชื่อในใบอนุโมทนาบัตร เพื่อประกอบการขอเครื่องราชฯ
ขณะที่ กำลังถูกจับกุมนั้น ทางหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้ โทรศัพท์สัมภาษณ์ นายขุนทอง ตอบทันทีว่า “ผมบริสุทธิ์ ไม่คิดว่าจะทำอะไรผิด แต่ถ้าเกิดผิดก็คงบังเอิญว่าไปอยู่ในตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง แต่ยืนยันว่าผมบริสุทธิ์”
ไม่ว่าใครอยู่ในตำแหน่งก็ต้องเซ็นทุกคน ส่วนตัวไม่คุ้นเคยกับ พระราชปัญญาโกศล หรือ เจ้าคุณอุดม รองเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์ และไม่รู้ว่า ใบอนุโมทนาบัตร จะเป็นหลักฐานสำคัญในการไปขอเครื่องราชฯ
สำหรับ หมายจับกุมวันนี้ มี 5 คน ประกอบด้วย เจ้าคุณอุดม คนสนิทเจ้าคุณอุดม หัวหน้าแผนยานยนต์ ธนาคารแห่งหนึ่ง นายขุนทอง และ คนที่ทำหน้าที่ หน้าห้องของ นายขุนทอง
ซึ่งเจ้าคุณอุดม นั้น เดินทางไปสิงคโปร์ กำลังเดินทางกลับประเทศไทย ในช่วงเวลา 11.00 น. วันเดียวกัน
เมื่อพระราชปัญญาโกศล ลงจากเครื่องบิน ที่สนามบินดอนเมือง เจอกับตำรวจ ก็มีสีหน้าตกใจ ต่อมาจึงถูกนิมนต์ขึ้นรถตำรวจ ไปที่ วังปารุสกวัน ซึ่ง พล.ต.ต.ประยูร โกมารกุล ณ นคร เป็นประธานการสอบสวน และได้สอบปากคำเบื้องต้น ซึ่ง เจ้าคุณอุดม ให้การปฏิเสธ เช่นเดียวกับผู้ต้องหาคนอื่น
คดีนี้ พล.ต.อ.เภา สารสิน อธิบดีกรมตำรวจเป็นคนนำทีมแถลงข่าว แต่ใจความสำคัญในการแถลง อยู่ที่ พล.ต.ต.ประยูร
จากการสอบสวนพบว่า การทุจริตในการขอเครื่องราชฯ มี 2 ขั้นตอน
ขั้นตอนแรก คือ การทำหลักฐานการบริจาคทรัพย์ปลอม โดยผู้กระทำความผิดได้จัดทำใบประกาศเกียรติคุณ ซึ่งเป็นหลักฐานการยืนยันการบริจาคทรัพย์ของผู้บริจาคปลอมขึ้นมา โดยไม่ได้มีการบริจาคจริง ตามใบประกาศเกียรติคุณบัตร
ขั้นตอนที่ 2 ผู้กระทำผิดได้นำใบประกาศเกียรติคุณบัตร ที่ปลอมขึ้น ไปใช้หลักฐานขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยเสนอผ่านกระทรวงศึกษาธิการ
และจากการตรวจหลักฐานพบว่า มีผู้บริจาค จำนวน 332 ราย ที่ไม่มีการบริจาคทรัพย์จริง
มีประกาศเกียรติคุณปลอม 1,148 ฉบับ คิดเป็นเงิน 1,400 ล้านบาทเศษ
และมีการออกหมายจับทั้งสิ้น 5 คน ที่มีการจับกุมไปก่อนหน้านี้
“ตามกฎหมาย เมื่อพระภิกษุสงฆ์ต้องหาคดีอาญา ถ้าพนักงานสอบสวนเห็นว่าไม่ควรอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว และเจ้าอาวาสไม่รับตัวไว้ควบคุม ก็มีอำนาจให้ภิกษุลาสิขาได้
ส่วนจะให้ประกันตัวหรือไม่ ขณะนี้ กำลังสอบสวนอยู่ คดีนี้โทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 10 ปี ต้องใช้หลักทรัพย์ในการประกันตัว ไม่ต่ำกว่า 300,000 บาท"
นายมารุต บุนนาค ให้สัมภาษณ์ว่า ส่วนตัว นายขุนทอง มานาน และเห็นว่าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ส่วนที่โดนจับนั้น เพราะน่าจะมีการลงลายมือชื่อรับรองใบประกาศเกียรติคุณ เป็นการลงชื่อตามรายงานของเจ้าหน้าที่ และพระผู้ใหญ่
ขณะที่นายอดุลย์ รัตตนานนท์ อธิบดีกรมการศาสนา ระบุถึงการต้องสึกของเจ้าคุณอุดมว่า ถ้าหากตำรวจยอมให้ประกันตัว ก็ยังไม่ต้องสึก ซึ่งก็ต้องรอดูผลว่ายื่นประกันตัวได้หรือไม่...
4 ทุ่มวันนั้น นายขุนทอง ได้รับการประกันตัวออกไป ขณะที่ เจ้าคุณอุดม ถูกนำตัวไปที่ สน.นางเลิ้ง เพื่อฝากควบคุมไว้ในห้อง หมายเลข 14 ซึ่งเป็นห้องทำงานของ พ.ต.ท.คงศักดิ์ เอี่ยมทิม รองผู้กำกับ นครบาล 2 โดยจัดเวรยามดูแลใกล้ชิด
“ยังมีการสอบสวนไม่เสร็จ จะต้องนำตัวไปสอบปากคำอีกครั้ง เช้าวันนี้...” พล.ต.ต.ประยูร อธิบาย
เช้าวันต่อมา พล.ต.ต.ประยูร ให้สัมภาษณ์สื่ออีกครั้ง ระบุว่า จากการตรวจสอบรายชื่อในการบริจาค กว่า 100 ราย ทุกคนปฏิเสธว่าไม่ได้บริจาคเงินตามยอดที่ปรากฎ
ขณะที่ หนึ่งในผู้ต้องหา ซึ่งเป็นอดีตพนักงานธนาคาร ให้การว่า ตนถือเป็นคนใกล้ชิดพระราชปัญญาโกศล ได้ร่วมงานกับท่าน 7-9 ปี โดยปัจจุบันเป็นกรรมการมูลนิธินวมราชานุสรณ์ ตั้งแต่ปี 2524
“ลาออกจากธนาคารมา 3 ปีแล้ว ผมทำหน้าที่เหรัญญิก แต่ไม่ทราบเรื่องการปลอมแปลงเอกสาร”
ขณะที่นายขุนทอง บอกว่า การที่ผมเซ็นชื่อไปนั้น เพราะเชื่อในสถาบันพระพุทธศาสนา และเชื่อในพระเถระผู้ใหญ่ หลังเซ็นชื่อเสร็จก็ไม่ได้กลับไปตรวจสอบอะไร
ประเด็นสำคัญของคดีนี้ คือ การที่มีการควบคุมตัว พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ซึ่ง ก็ผ่านมา 2 วัน
จนกระทั่งถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2530 เรื่องนี้ อธิบดีกรมการศาสนา ระบุว่า ทางมหาเถรสมาคม ได้รับทราบเรื่องแล้ว เจ้าคุณอุดม แล้ว แต่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร แสดงว่าทางมหาเถระฯ จะไม่เข้าไปยุ่ง ปล่อยให้เป็นเรื่องของทางตำรวจ
ส่วนจะต้อง “สึก” เจ้าคุณอุดม หรือไม่ ทางตำรวจไปใช้ดุลยพินิจเอง…
ซึ่งคำตอบ ของ อธิบดีกรมการศาสนา ก็สอดคล้องกับ กรรมการมหาเถระสมาคม ที่ตอบว่า
“เมื่อพระถูกจับต้องปล่อยให้เป็นเรื่องเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เมื่อเสร็จเรื่องจากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง จึงต้องเป็นเรื่องของพระ มาดำเนินการต่อ”

เย็นวันที่ 30 ตุลาคม พล.ต.ท.แสวง ธีระสวัสดิ์ รองอธิบดีกรมตำรวจ เดินทางมาดูสำนวนถึงวังปารุสก์ พร้อมเผยว่า คำให้การของผู้ต้องหาบางคนเป็นประโยชน์มาก ทำให้ตำรวจสืบสาวถึงผู้อยู่เบื้องหลัง แต่การจะจับกุมเพิ่มหรือไม่ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน ส่วนการประกันตัวผู้ต้องหาหรือไม่ ...คงไม่มีผลกับคดี
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า ทางตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และคณะกรรมการสอบสวน ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่ามีการหารือ เรื่องการประกันตัว ของพระเถระผู้ใหญ่ ว่าจะให้ประกันหรือไม่...
จากการสอบสวนของตำรวจในคดีนี้ หญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาเกี่ยว คือ น.ส.พัทยา พิมพ์สะอาด จึงมีการตรวจสอบเส้นทางการเงิน
เธอยืนยันว่า เป็นเพียงศิษย์ก้นกุฎิเท่านั้น ไม่มีสัมพันธ์เกินเลย...
น.ส.พัทยา พิมพ์สะอาด บอกว่า จากรายงานข่าวว่าทรัพย์สินต่างๆ ของเจ้าคุณอุดม ถูกใส่ชื่อของเธอนั้น ไม่เป็นความจริง
ความจริงคือ เธอเป็นลูกสาวของ “พระพี่เลี้ยง” ของเจ้าคุณอุดม สมัยเข้ามาบวชใหม่ๆ พระพี่เลี้ยง สอนเจ้าคุณอุดม อ่าน เขียน และทางครอบครัวก็สนิทกัน ไปมาหาสู่กันตลอด
หญิงสาววัย 30 กว่าปี เศษ ขณะเป็นข่าวนั้น มีร่างสันทัด ผิวขาว จัดว่าเป็นคนหน้าตาดี กล่าวว่า ไม่เกี่ยวข้องกับคดีเครื่องราชฯ ตนจะเข้าไปก็ต่อเมื่อ ต้องไปต้มยาถวาย เพราะท่านป่วยเป็นเบาหวาน
ท่านมีคนรับใช้มากมายอยู่แล้ว การที่ดิฉันมาพูดเรื่องนี้ เพราะเห็นแก่พระสงฆ์องค์เจ้า พูดเพื่อแก้ข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง พูดเพื่อพุทธศาสนา จะได้ไม่หมัวหมอง
ตลอดระยะเวลาการสอบสวน “เจ้าคุณอุดม” ถูกควบคุมตัว ไว้ที่ห้องทำงานของตำรวจนครบาล 2 โดยมีตำรวจนอกเครื่องแบบคอยดูแล 3 นาย
หลายๆ ครั้ง พระราชปัญญาโกศล เกิดอาการ “ท้อแท้” ตำรวจกลัวจะเกิดเหตุสุดวิสัย จึงเข้าดูแลอย่างเต็มที่
โดยในวันที่ 1 พ.ย.30 นักข่าวถาม “เจ้าคุณอุดม” ว่าจะ “ลาสิกขา หรือไม่ พระราชปัญญาโกศล ตอบว่า “ไม่มีอยู่ในความคิด ไม่สึกแน่นอน เราทำดีที่สุดแล้ว ต้องการให้ลงไปเลยว่าขาว หรือดำ ถ้าเราเห็นว่าดี เขาเห็นว่าไม่ดี เราจะไปทำอะไรได้"
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า เจ้าคุณอุดม ได้ยื่นข้อเสนอ 3 ข้อ หากจะลาสิกขา คือ 1.ขอพบทนาย 2.ขอพบเลขาสมเด็จพระสังฆราช และ ขอพบเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์
ประเด็นนี้ตำรวจเองก็รับเรื่องไว้... เนื่องจากทางตำรวจ จะต้องทำเรื่อง “ฝากขัง” ในวันที่ 4 พ.ย.นี้…
เช้าวันที่ 4 พ.ย. พนักงานสอบสวนนำพระราชปัญญาโกศล ไปตามกำหนดฝากขัง หลังต้องจำวัดที่ห้องทำงานบนโรงพัก ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม
ช่วงเที่ยงวันนั้น พล.ต.ต.ประยูร ได้สั่งการให้ตำรวจ สน.ดุสิน นำบันทึกประจำวันเดินทางมายังวังปารุสก์ รวม 3 เล่ม เพื่อลงบันทึกประจำวัน “ปล่อยตัวชั่วครว” ซึ่งก็มีพระเกจิดัง จาก จ.เชียงใหม่ ถึงกับ นำพวงมาลัยดอกไม้สด มามอบให้ พล.ต.ต.ประยูร
พล.ต.ต.ประยูร กล่าวว่า อธิบดีกรมตำรวจอนุญาติให้ผู้ต้องหาทั้ง 4 ประกันตัว ตามที่พนักงานสอบสวนเสนอ หลังสอบปากคำแล้วเสร็จ การประกันตัวนี้ ถ้ายื่นประกันเป็นเงินก็จะประมาณรายละ 3 แสนบาท ถ้าเป็นหลักทรัพย์ ก็รายละ 6 แสนบาท ถือเป็นมาตรฐานเดียวกับ นายขุนทอง ภูผิวเดือน อดีต รมช.ศึกษาธิการ
หลังได้รับการประกันตัว เจ้าคุณอุดม ได้เดินทางกลับวัดเทพศิรินทร์ นักข่าวได้ตามไปที่วัด
ในช่วง 17.00 น. เจ้าคุณอุดม ได้ออกมาพบนักข่าว นำพระเครื่องมาแจกจ่ายนักข่าวและผู้ติดตาม กว่า 50 คน
นักข่าวถามว่า ตอนนี้ตกเป็นผู้ต้องหาแล้ว เจ้าคุณอุมตอบว่า ไม่มีอะไรหรอก อย่าเขียนนอกเรื่อง อาตมาบวชมา 40 พรรษา ทำดีมาตลอด ทำดีที่สุดแล้ว คนอื่นมองว่าไม่ดี นั่นเป็นความนึกคิด แต่เราคิดว่าทำดีที่สุดแล้ว
หลังได้รับการประกันตัว ผ่านมาเกือบเดือน เข้าสู่เดือนธันวาคม ก็มีการออกหมายจับกุมอีกครั้ง คราวนี้มีด้วยกัน 7 คน ซึ่งรวมถึงพระราชปัญญาโกศลด้วย
ซึ่งคราวนี้ เป็นคดีร่วมกันปลอม และใช้เอกสารปลอม ซึ่งตำรวจตอบกับสื่อว่า เป็นการจับกุมตามพยานหลักฐาน โดยเกี่ยวข้องกับหญิงสาวที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ โดยโยงใยไปถึงคนในครอบครัว
นอกจากนี้ จากการค้นบ้าน ก็พบทรัพย์สินของ “เจ้าคุณอุดม” ในบ้านบ้านหญิงสาว เป็นเงิน 150,000 บาท เธออธิบายว่า เจ้าคุณให้ไว้ เพื่อหยิบฉวยใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น
ขณะที่ตำรวจเอง ตรวจสอบ ระบุว่า ที่ดินจำนวนหนึ่ง เป็นชื่อของหญิงสาวรายนี้
เธอตอบนักข่าว สาเหตุการถูกจับครั้งนี้ ว่า “เพราะมีทรัพย์สินมากนี่แหละ ตำรวจถึงจับ ฉันมันปลายแถว ต้นเหตุมันทางโน้น… เธอชี้ไปยังผู้ต้องหาอื่นอีกคน คือ นายอำไพ แก้วพงษ์ และ นายมนตรี จำนงค์
นอกจากนี้ ยังมีการจับ “พระครู” รูปหนึ่ง เป็นเจ้าอาวาสวัดบำรุงรื่น ด้วย ข้อหารับรองเอกสารเท็จ และแจ้งความเท็จ และ ผอ.เขต คนหนึ่งด้วย
ขณะที่เจ้าคุณอุดม นั้น จากการตรวจค้นกุฎิ พบว่าเตรียมที่จะเดินทางไปต่างประเทศ ทำให้ตำรวจ ถึงกับบอกว่า จะมีการคัดค้านการประกันตัว
11 ธันวาคม คดีเครื่องราชฯ ภาค 2 มีผู้ต้องหา 2 คนได้รับการประกันตัว เหลือแต่ พระราชปัญญาโกศล และ คนใกล้ชิด 4 คน คือ นายอำไพ แก้วพงษ์ นายมนตรี จำนงค์ และเลขาหญิง 2 คน
ตำรวจสอบสวนอย่างหนัก โดยเฉพาะประเด็นการเซ็น และลงลายมือชื่อบนหลักฐานต่างๆ
ขณะที่ พระราชปัญญาโกศล เอง วันนี้ มีอาการเครียดอย่างหนัก และแสดงท่าทีเป็นในทิศทางเดียวกับตำรวจว่า การถูกจับครั้งนี้ อาจจะต้อง “ลาสิกขา” เพราะไม่อยากทำให้ผ้าเหลืองมัวหมอง

ต่อมา พระราชปัญญาโกศล ได้แถลงต่อหน้าสื่อมวลชน
“อาตมาสำนึกตัวแล้ว เราพยายามเพียรทำความดีมาตลอด ทุกสิ่งทุกอย่างที่อาตมาทำมานั้นมันตรงกันข้าม อาตมาเกิดความสำนึกเพื่อเอาส่วนหนึ่งไว้เป็นที่พึ่งของความดี ทุกอย่างต้องเป็นไปตามสภาพ อาตมาทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ อาตมาทำดีแล้วไม่ได้ดี เรามิได้หลอกลวงผู้หนึ่งผู้ใด อาตมาขอสึกออกมาสู้คดีเพื่อความบริสุทธิ์ของพระพุทธศาสนา”
เจ้าคุณอุดมกล่าว ต่อว่า “เราจะยอมเสียสละความเป็นพระมาสู้คดีและความจริงให้สมกับที่เราได้รับการยกย่อง ที่สละเพศบรรพชิตเพื่อพิสูจน์ว่าเราทำดี ความดีคงจะตอบสนองเราบ้าง”
เจ้าคุณอุดม กล่าวเริ่มมีน้ำตาคลอ
ในช่วงบ่าย เจ้าคุณอุดม เดินทางไปที่กุฎิเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์ และทำพิธีต่อหน้าพระผู้ใหญ่ 9 รูป และกล่าวคำลาสิกขาสมณเพศ ท่ามกลางเสียงท้วงติง จากพระบางรูป ที่ให้เหตุผลว่าให้รอมติการประชุมจากมหาเถรสมาคมก่อน เพราะเสียดาย เจ้าคุณอุดม ที่บวชมานานกว่า 40 พรรษา
แต่เจ้าคุณอุดม ก็ยืนยันที่จะสึก “ขอความกรุณาและเมตตากระผมด้วย ผมยอมเสียสละส่วนน้อย เพื่อรักษาส่วนรวมไว้”
หลังแน่วแน่ในการลาสิกา ก็ทำพิธีเสร็จ อดีตเจ้าคุณอุดม ตอนนี้กลับมาใช้ชื่อในฐานะฆราวาส คือ นายผาสุก ขาวผ่อง และเดินทางไปที่วังรุสก์อีกครั้ง
หลังสึก นายผาสุก ให้ปากคำพนักงานสอบสวน ซึ่งระหว่างสอบสวนนั้น อดีตพระราชปัญญาโกศล ถึงกับร้องไห้ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ โดยให้ปากคำตอบหนึ่งว่า ตั้งแต่ปี 2522 ก็มีข้าราชการผู้ใหญ่ เข้ามาพบชี้แจงขั้นตอน การขอเครื่องราชฯ จากนั้น ก็มีคุณหญิง คุณนาย เข้ามาพบ มายื่นข้อเสนอผ่านกองประกาศิต และ กระทรวงศึกษาธิการ ส่วนที่วัด เป็นเพียงสถานที่นัดพบ ซึ่งไม่ได้มีแต่วัดเทพศิรินทร์ แต่วัดอื่นก็มีเช่นกัน ทั้งกรุงเทพ และต่างจังหวัด
โดยเจ้าหน้าที่ 2 หน่วยงานจะรับไปดำเนินการ ประมาณว่า เฉพาะค่าสินบนเจ้าหน้าที่ทุจริตเหล่านี้ได้ไปไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทแล้ว ถ้าไปตรวจสอบ คงพบเจ้าหน้าที่บางคนร่ำรวยขึ้น
“ตอนที่เป็นพระเราพูดอะไรไม่ออก แต่ตอนนี้เราสึกแล้ว มีอะไรเราก็จะพูด” อดีตพระราชปัญญาโกศลว่า

ส่วนประเด็นเรื่องการปลอมลายเซ็น นายกฯ หรือ พระปรมภิไธย นั้น อดีตเจ้าคุณอุดม ยืนยันว่า ไม่จริง ทุกสิ่งส่งมาจากกองประกาศิต คนเดียวคงทำไม่ได้ ขอยืนยันว่าไม่ทำและทำไม่ได้
หลังสอบสวนเสร็จ ตำรวจ ยังไม่นำไปเข้าห้องขัง และยังให้เกียรติ ซึ่งนำไปควบคุมตัวไว้ที่ห้องทำงาน พ.ต.ท.คงศักดิ์ เอี่ยมทิม ที่เดิม
นายผาสุก เผยว่า ใช้ชีวิตในผ้าเหลืองถึง 46 ปี สึกวันแรกไมกล้ากินข้าวเย็น เพราะกลัวท้องเสีย และต้องปรับอารมณ์และความรู้สึกอีกมาก ใส่กางเกงแล้วรู้สึกแปลก เข้าห้องน้ำก็แปลก
นักข่าวถามว่า ถ้าได้ประกันตัว แล้วจะไปอยู่ไหน นายผาสุก ตอบว่า บ้านในชีวิตนี้คือวัด ทรัพย์สินในวัดก็เป็นของวัดหมดแล้ว ตัวเองไม่เหลือทรัพย์สินอะไร ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปนอนบ้านที่ไหน
อย่างไรก็ดี หลังให้ปากคำกับตำรวจ อดีตเจ้าคุณอุดม ก็ได้รับการประกันตัว
คำให้การของนายผาสุก ได้มีการซัดทอดไปยังกลุ่มข้าราชการระดับสูง และ คนในคณะรัฐมนตรี กระทั่งวันที่ 18 ธันวาคม 2530 จึงได้มีการเชิญตัว ข้าราชการ ซี 10 นายเมธี บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และ นายสุรเดช เดชคุปต์ อดีต ผอ.กองประกาศิต มาสอบปากคำ
นายผาสุก ย้ำว่า การปลอมใบประกาศนียบัตรนั้น ทำไม่ได้ หากไม่มีเจ้าหน้าที่กองประกาศิต ให้ความร่วมมือ ถ้าจะปลอม ก็ต้องปลอมมาจากกองประกาศิต เห็นเขาให้การกับตำรวจว่า มีการเก็บรักษามีผู้รับผิดชอบอย่างถูกต้อง เรื่องนี้ จะต้องถาม นายเฉลิมชัย บัวทอง หัวหน้างานอาลักษณ์ กองประกาศิต ซึ่งเป็นผู้เก็บรักษากุญแจ สถานที่เก็บตราพระราชลัญจกร หัวหน้าแผนกงานการพิมพ์ โรงพิมพ์ สำนักนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น เมื่อนายเฉลิมชัย ได้ลงมืออัตตนิวิบากกรรม ที่ตึกสำนักปลัดนายกรัฐมนตรี ภายในห้องทำงานของตัวเอง
เขาเขียนจดหมายลาว่า “ผมถูกซัดทอดหนักเกินไป อยู่ไม่ได้ ลงชื่อ “เฉลิมชัย”…
ซึ่งเรื่องนี้นักข่าวถามกับนายผาสุข ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้พูดอะไรมาก
“ขออย่าพูดเลย ขอพูดในศาลดีกว่า”
นายอนันต์ อันตกุล เลขาธิการ ครม. ให้สัมภาษณ์ถึงนายเฉลิมชัย ระบุว่า ตอนที่มีข่าวก็ได้สอบถามกับนายเฉลิมชัย ด้วยควาเห็นห่วง เขาตอบว่า “ขอบคุณที่เป็นห่วง เขาไม่ได้เกี่ยวข้อง”
กระทั่งมาทราบข่าวร้าย
ทั้งนี้ หลังสอบปากคำข้าราชการระดับสูงแล้วเสร็จ ศาลก็ให้ประกันตัว ทั้ง 2 ขณะที่สำนวนต่างๆ ของทางตำรวจก็ใกล้เสร็จสิ้น เตรียมทำการส่งฟ้องผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ในช่วงปลายปี 2530 โดบพล.อ.เปรม นายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า ให้ตำรวจดำเนินการอย่างเต็มที่ และมีคำสั่งพักราชการ ที่เกี่ยวข้องคนอื่นๆ
โดยตำรวจ ได้เตรียมสำนวนไว้ 12 แฟ้มใหญ่ ไล่ดูรายละเอียดการขอเครื่องราชฯ ตั้งแต่ ปี 2522 -2529
หลังดำเนินการแล้วเสร็จ ตำรวจก็นำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และฟ้องผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งในหน้าสื่อข่าว เมื่อผ่านปี 2530 เข้าสู่ปี 2531 กระแสเรื่องนี้ก็เริ่มเบาบางจางหายไปจากหนังสือพิมพ์ กระทั่ง มาเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง ในปี 2537
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2537 ที่ศาลอาญา นายมงคล หวนถลอม ผู้พิพากษา หัวหน้าคณะศาลอาญา ได้มีคำพิพากษา ที่ต่อสู้ยาวนานมากว่า 7 ปี ในประเด็นการปลอมแปลงใบอนุโมทนาบัตร เพื่อขอเครื่องราชฯ
โดยอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายผาสุก หรือ อดีตพระราชปัญญาโกศล อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ซึ่งตอนนั้นอายุ 68 ปี
รายละเอียดคำฟ้องนั้น ระบุว่า ช่องเดือนมิถุนายน - กันยายน 2529 จำเลยทั้ง 4 ได้ร่วมกันปลอมใบอนุโมทนาบัตร โดยระบุว่า มีการบริจาคเงินเพื่อสร้างอุโบสถให้กับวัดบำรุงรื่น กว่า 10 ราย เป็นยอดเงิน 3.7 ล้านบาท โดยมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้รับรอง
คคีนี้ ศาลพิพากษาว่า พยานโจทก์ มีพระครูอนุกูลฯ มาเบิกความ เชื่อว่าเงินบริจาคให้วัด จำนวนกว่า 3 ล้าน แต่พระครูฯ ไม่อาจยืนยันได้ว่ายอดเงินเปลี่ยนแปลงในภายหลัง
จึงยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันปลอมใบอนุโมทนาบัตรดังกล่าวผิดไปจากความเป็นจริง และนำใบอนุโมทนาบัตรที่มียอดเงิน 60 ล้านบ้าน เสนอกองประกาศิต จึงไม่สามารถลงโทษจำเลยทั้ง 4 ฐานใช้เอกสารปลอมได้
ส่วน ร.ต.บุญลือ ลงชื่อรับรอง เป็นการกระทำโดยสุจริตไม่ได้ทำให้เสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และไม่ได้ปรากฎว่า แสวงหาประโยชน์ อันหนึ่งอันใด เพื่อตนเองหรือผู้อื่น จึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พิพากษายกฟ้อง
นายผาสุก หรือ อดีตเจ้าคุณอุดม ในวัย 75 ปี ซึ่งดูชราภาพมาก ถือไม้เท้ายันกายมาศาล ระหว่างที่ศาลอ่านคำพิพากษา ต้องใช้มือป้องหูเพื่อฟัง และหลังจากศาลอ่านคำพิพากษจบ ก็ยังไม่เข้าใจ
กระทั่งมีคนบอกว่า “ศาลยกฟ้อง” จึงยิ้มแย้มอกมา โดยมีจำเลยคนอื่น และญาติร่วมยินดี
นายผาสุก กล่าวว่า การที่ศาลยกฟ้องวันนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้รู้เห็นแก่การปลอมใบอนุโมทนาบัตร เพื่อขอพระราชทานเครื่องราชฯ ตามที่ถูกกล่าวหา
อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาดังกล่าว เป็นเพียงข้อสรุปเบื้องต้น ที่เป็นปฐมบทแห่งคดีเท่านั้น เพราะความจริง คดีนี้เกี่ยวกับคนจำนวนมาก ทั้งระดับเล็ก ไปยังข้าราชการระดับสูง ต่อมา จึงมีการส่งคำฟ้องใหม่ และ มีจำเลยในคดีนี้ถึง 16 คน รวมความเสียหายกว่าหมื่นล้านบาท
27 เมษายน 2548 ศาลชั้นต้น มีการพิพากษา ยกฟ้อง 3 คน ลงโทษ 5 คน จำคุกคนละพันกว่าปี หนักสุด ถึง 3,000 ปี แต่ก็จำคุกจริงได้เพียง 50 ปี
ในปี 2553 ศาลอุทธรณ์ ยืนตามศาลชั้นต้น แต่มีการแก้โทษ บางคนที่มีเพิ่มและลด รวมถึงนาย เมธี บริสุทธิ์ อดีตข้าราชการพลเรือน เลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี จำคุก 1,148 ปี ซึ่งถึงเวลานี้ ได้เสียชีวิตไปแล้ว
คดีนี้ มาสิ้นสุด เด็ดขาดจริงๆ ในปี 2556 รวมระยะเวลาในการสู้คดี กว่า 25 ปี เหลือจำเลยในการสู้คดี เพียง 2 คน คือ น.ส.พัทยา พิมพ์สะอาด อดีตพนักงานธนาคาร และ นายอารี อดีตข้าราชการ ช่วยงานปลัด ก.ศึกษาธิการ
ซึ่งกรณี นางพัทยา นั้น โดนข้อหาในเชิงสนับสนุน อดีตเจ้าคุณอุดม แต่ศาลมองว่า ด้วยตำแหน่งหน้าที่ของเจ้าคุณอุดม ไม่ได้ดูแลในส่วน ของการยื่นคำขอเครื่องราชฯ จึงยังฟังไม่ได้ว่าไปร่วมสนับสนุน
ขณะที่ นายอารี มีการสอบพยานไป 508 ปาก มี 17 ปาก ไม่สามารถยืนยันการเรียกรับเงินได้ มีพยานบางส่วนเท่านั้น แต่ถือเป็นผู้ร่วมกระทำผิด จึงมีน้ำหนักน้อย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องกับศาลชั้นต้น จึงพิพากษา ยกฟ้อง
คดีอื้อฉาวนี้ ถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ โดยมีการต่อสู้มาราธอนมากว่า 25 ปี จำเลยในคดีตายไป 9 คน ที่เหลือสุดท้ายแล้วศาลยกฟ้อง ขณะเดียวกัน ระหว่างพิจารณาคดี ก็มีทนายเสียชีวิตไป 4 คน ผู้พิพากษาเสียชีวิต 1 คน
You might be intertested in this news.
Mostview
ทอ.ส่ง เอฟ-16 ตาคลี ขึ้นสกัด YAK-130 เมียนมา บินประชิดชายแดนฝั่งตะวันตก
โฆษก ทอ. แจงส่ง F-16MLU 2 เครื่อง จาก ฝูงบิน 403 กองบิน4 ตาคลี จ.นครสวรรค์ บินขึ้นทำ QRA สกัดกั้น เครื่องบินแบบ Yak-130 ของเมียนมาหลังพบบินมุ่งมาบริเวณ อ.พบพระ จ.ตาก เมื่อเวลา 1303 น.ก่อนเครื่องบินดังกล่าวจะบินออกไป ยืนยัน ไม่มีภัยคุกคาม
รีวิว “พระร่วง มหาศึกสุโขทัย” เกมอำนาจ ที่ทำให้เข้าใจอดีตมากขึ้น
พระร่วง มหาศึกสุโขทัย ภาพยนตร์ ที่ได้แรงบันดาลใจ บทพระราชนิพนธ์ ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๖) หนังทำมาเป็นเรื่องราว 2 ....
ไก่อวกาศ CP จะไปกับยาน Axiom 4 เดินทางสู่สถานีอวกาศนานาชาติ 8 มิ.ย.68 นี้
ซีพีเอฟ เผยกำหนดการเดินทางสู่อวกาศของ "ไก่อวกาศ" ที่เป็นเนื้อไก่แปรรูปพร้อมรับประทาน จะเดินทางไปพร้อมกับยาน Axiom 4 อันเป็นโครงการด้านอวกาศฝั่งเอกชนที่สนับสนุนโดยฮังการ โปแลนด์ และอินเดีย โดยจรวดฟอลคอน 9 เพื่อเดินทางสู่สถานีอวกาศนานาชาติ 8 มิ.ย.68
หากยูเครนได้ขีปนาวุธร่อน TAURUS KEPD 350 จะยกระดับการโจมตีลึกเข้าในรัสเซียได้
กรณีนายกฯ เยอรมันปลดล็อกระยะโจมตีของอาวุธที่ส่งให้ยูเครน ทำให้คาดว่าจะมีการมอบขีปนาวุธร่อน TAURUS KEPD 350 ให้ยูเครน โดยถือเป็นเป็นอาวุธอานุภาพสูงที่ระยะยิงไกลกว่า 500 กม. สามารถกดดันและเจาะระบบป้องกันทางอากาศของรัสเซีย รวมทั้งเป้าหมายสำคัญที่อยู่ลึกๆ ได้
อุบลฯ ไม่ได้มีดีแค่หมูยอ แต่ F-5TH กองบิน 21 ก็พร้อมรับมือภัยคุกคามตลอด
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ฝั่งอีสานใต้โดยเฉพาะช่องบกเริ่มตึงเครียด ทำให้หน่วยทหารต่างๆ ต้องเตรียมพร้อมโดยเฉพาะ กองบิน 21 อุบลราชธานี บ้านของพญาเสือโคตรดุ F-5TH มีการฝึกยุทธวิธีตลอด เพื่อให้พร้อมสนับสนุนกำลังทางอกาศทันทีที่มีการร้องขอ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
