ย้อนสงครามไทย-กัมพูชา 2554 BM 21 VS ปืนใหญ่ “บิ๊กตู่” ลั่น อยากรบก็รบ! (คลิป)
by Trust News, 6 มิถุนายน 2568
กระสุนนัดเดียว เปิดฉากปะทะไทย-กัมพูชา เมื่อปี 2554 สองฝ่ายซัดกันนัวร์ บิ๊กตู่ ขณะนั้นเป็น ผบ.ทบ. ลั่น “ถ้าอยากจะรบก็รบ” ขณะที่กัมพูชา ก็ยั่วยุ ลอบยิง จนเป็นเหตุบานปลาย ขณะที่ทหารไทยย้ำมาตลอด รบทุกครั้ง เราไม่เคยเสียเปรียบเขมร
ย้อนรอยเหตุปะทะ ระหว่าง ไทย กับกัมพูชา ไล่เรียงไทม์ไลน์การต่อสู้ หลังมีพิพาท ปม ปราสาทเขาพระวิหาร จนมีเหตุต้องรบกันที่ชายแดนไทยกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 และมาดุเดือดรุนแรง ในช่วงปลายเดือนเมษายน เข้าสู่เดือนพฤษภาคม ที่ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย
เขมร ใช้อาวุธหนัก BM 21 จรวด 40 ลำกล้อง ยิงถล่ม แต่เจอไทยสวนด้วยปืนใหญ่ ดับความซ่า ความห้าวของเขมร โดยเฉพาะ ฮุนเซน และ ฮุนมาเนต ลูกชาย ที่ตอนนั้น มาบัญชาการรบด้วยด้วยตัวเอง
โดยต้องเจอกับแม่ทัพภาคที่ 2 โดยมี ผู้นำอย่าง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ตอนนั้น เป็นผู้บัญชาการทหารบก
ทรัสต์นิวส์ไล่เรียง เหตุการณ์ตั้งแต่กระสุนนัดแรก ถอดรหัสกลยุทธ์ เขมร ที่ใช้ทุกวิธีทาง.....
ถ้าชอบอ่าน เรามีเวอร์ชันยาว...
จากกรณีช่องบก ที่มีการปะทะกันระหว่างทหารไทย กับกัมพูชา เมื่อเดือน พฤษภาคมที่ผ่านมา ถึงเวลานี้ เกิดความตึงเครียดกันอย่างหนัก แต่เวลานี้ ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันนำไปสู่การปะทะ ความสูยเสีย ตามมา
และจากเหตุการณ์นี้ อยากจะขอย้อนอดีต เมื่อปีสักสิบกว่าปีก่อน ตอนเหตุการณ์ปี 2554 โดนจะขอเน้นเฉพาะเจาะจงไปที่ ช่วงเวลาเดือนกุมภาพันธ์ ถึง ต้นเดือนพฤษภาคม ที่มีการใช้ยุทธศาสตร์ทางทหาร ห่ำหั่น ถึงขนาดที่ทางกัมพูชา ต้องเลือกใช้วิธี “โล่มนุษย์” นำมาใช้
หลังจากไทยที่มีปัญหาเรื่องเขตแดน ตั้งแต่ปี 2551 และ มีทางกัมพูชา ควบคุมตัว 6 คนไทย กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติและมีนายพณิช วิกฤติเศรษฐ์ ในปลายปี 2553
ต่อมา ในช่วงเหตุปะทะ กันดุเดือดจริงๆ มาเริ่ม ต้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 เมื่อเวลา 15.20 น. ทหารไทยกับทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงปะทะกันบริเวณฐาน ตชด.เก่า ลำห้วยตามาเลีย พื้นที่ทับซ้อนชายแดนไทย-กัมพูชา ห่างจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ประมาณ 400 เมตร ยาวไปถึงภูมะเขือ เป็นระยะทางประมาณ 2 กม. ห่างจากผามออีแดง ทางขึ้นเขาพระวิหาร ประมาณ 4 กม.
โดยทหารเขมรเปิดฉากใช้ปืนเล็กประจำกายทั้งปืนเอ็ม 16 และปืนอาก้า กราดยิงเข้ามายังฝั่งไทยก่อน ทหารจากกองกำลังทหารพรานที่ 23 ที่ประจำการอยู่ในพื้นที่ จึงใช้ปืนประจำกายยิงตอบโต้กลับไป จนเกิดการยิงปะทะดุเดือดต่อเนื่อง สร้างความตกใจให้กับชาวบ้าน ในพื้นที่ต่างวิ่งหลบหนีเข้าที่กำบังเป็นที่ชุลมุน
จากนั้น ได้เพิ่มความรุนแรงขึ้น ต่างฝ่ายต่างก็เริ่มใช้อาวุธหนักทั้งปืนใหญ่ เครื่องยิงกระสุนปืน 120 มม. และจรวดอาร์พีจี โดยฝ่ายกัมพูชาระดมยิงปืนใหญ่ ถล่มเข้ามายังฝั่งไทย ทหารไทยจึงใช้ปืนใหญ่ยิงตอบโต้ไปจาก 3 ฐาน คือฐานบ้านโนนศิริ ฐานบ้านโนนเจริญ และฐานซำแต ถล่มเข้าไปยังฝั่งกัมพูชา เสียงระเบิดดังกึกก้องต่อเนื่องตลอดแนวชายแดน หลังจากนั้นก็มีเพลิงไหม้และกลุ่มควันพวยพุ่งมาจากแนวทุ่งหญ้าในพื้นที่ทับซ้อนจุดที่กระสุนปืนใหญ่ของแต่ละฝ่ายยิงไปตก นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มควันจากไฟไหม้บริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระด้วย
หลังเกิดการยิงถล่มปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา สร้างความแตกตื่นตกใจให้กับชาวบ้านในพื้นที่ โดยเฉพาะที่บ้านภูมิซรอล ใกล้จุดปะทะ ต่างพากันวิ่งหนีเข้าไปในหลุมหลบภัยที่สร้างไว้ ขณะที่ชาวบ้านบางส่วนก็เลือกที่จะอพยพหนี
ฃช่วง 5 โมงเย็น วันที่ 4 ก.พ. 54 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์สั้นๆ โดยนักข่าวถามว่า “ใครยิงก่อน… นายสุเทพ ตอบว่า เอาเป็นว่าเขายิงมา เราก็ยิงสวนไป…
17.30 น. หลังปะทะเดือดกัน 2 ชั่วโมง เสียงปืนเริ่มเงียบลง ชาวบ้านเข้าไปสำรวจความเสียหายที่บ้านภูมิซรอล พบว่า มีบ้าน 2 หลังโดนกระสุนปืนใหญ่ ไฟไหม้เสียหาย ซึ่งเป็นบ้าน ที่ปลูกติดกัน ห่างจากตู้ยามตำรวจภูมิซรอลประมาณ 400 เมตรแต่ไม่มีใครได้รับอันตราย
นอกจากนี้ ยังมีลูกระเบิดทหารกัมพูชา ยิงเข้ามาที่โรงเรียนภูมิซรอลวิทยา 2 ลูก ลูกแรกตกข้างสนามฟุตบอลเป็นหลุมลึก 1 คืบ ส่วนอีกลูกตกหลังอาคารเรียน แรงระเบิดทำให้กระจกหน้าต่างแตกเสียหายหลายบาน
ผอ.โรงเรียนภูมิซรอล บอกว่า ช่วงที่ปะทะกันใหม่ๆ ได้สั่งให้อพยพนักเรียนออก จึงทำไม่เกิดการสูญเสีย
ขณะที่ สวนไร่ ชาวบ้าน ที่เป็นสวนยาง ปลูกไว้สูงกว่า 2 เมตร กลายเป็นทุ่งระเบิด เพราะมีระเบิดจากฝั่งกัมพูชา ยิงเข้ามาตกใส่กว่า 20 ลูก เกิดไฟไหม้เป็นบริเวณกว้างถึง 50 ไร่

นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผวจ.ศรีสะเกษ เปิดเผยในเวลาต่อมาว่า หลังจากเข้าเคลียร์พื้นที่ พบเจอเรื่องน่าเศร้า เพราะพบศพชาวบ้านเสียชีวิต ในร่องน้ำแห้งกลางทุ่งนา ห่างจากโรงเรียนภูมิซรอลประมาณ 1 กม. เป็นชายวัย 59 ปี ถูกระเบิดเข้าที่หัว…
ช่วงเย็น มีรายงานว่า “ทหารไทย” ถูกควบคุมตัวไป 5 นาย แต่นายสุเทพ ยังไม่ยืนยัน ต้องรอเช็กข่าวที่ถูกต้อง
ขณะที่ สำนักข่าวต่างประเทศ อ้างในส่วนกัมพูชาว่า สาเหตุที่เกิดการปะทะกัน เพราะ ฝ่ายไทยไม่สนคำเตือนกัมพูชา เรื่องสิทธิเหนือดินแดน
นายเขียว กันหาริด โฆษกรัฐบาลกัมพูชา อ้างว่า การยิงต่อสู้เกิดขึ้นเพราะทหารไทยไม่สนคำเตือนไม่ให้ข้ามมายังเขตแดนกัมพูชา จนทหารกัมพูชาต้องยิงปืนขึ้นฟ้าเตือน แต่ทหารไทยกลับยิงตอบโต้เอาคืน ส่วนตำรวจกัมพูชาเผยว่าเหตุยิงปะทะทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บ 2 นาย
ขณะที่นายชุม โสเจียต โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา แถลงว่าทหารทั้ง 2 ฝ่าย ใช้ทั้งปืนครกและปืนใหญ่ยิงปะทะกัน ขณะที่สถานีโทรทัศน์รัฐบาลกัมพูชาอ้างการเปิดเผยของ นายพาย สีพัน โฆษกรัฐบาลกัมพูชา ระบุว่ามีทหารไทยอย่างน้อย 4 นาย ถูกฝ่ายกัมพูชาจับตัว กล่าวหาทหารไทยเป็นฝ่ายรุกล้ำอาณาเขต กัมพูชาจึงมีสิทธิ์ปกป้องตนเอง ส่วนนายฮอร์ นัมฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชา เผยว่ากัมพูชาจะยื่นร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กล่าวหาฝ่ายไทยรุกล้ำเขตแดนกัมพูชา
ในขณะเดียวกัน ก็มีการเคลื่อนไหวกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นแกนนำ ในเวลานั้น พร้อมกับนักวิชาการ เตรียมจะยกระดับการประท้วงรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยมีการเสนอข้อเรียกร้อง 3 ข้อ
1. ยกเลิกเอ็มโอยู 43
2.ถอนตัวจากคณะกรรมการมรดกโลก
และ 3.ใช้กำลังทางทหาร ผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่พิพาท
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะไปฟังกันต่อนั้น ผมขอสรุปเฉพาะประเด็นสงครามเท่านั้น ส่วนเรื่องการเมืองภายในเวลานั้น จะขอหยิบยกแต่เรื่องสำคัญๆ เท่านั้น ซึ่งในส่วนการเมืองนั้น ได้มีการพูดคุยเรื่องการหยุดยิง โดยมี นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ไปพูดคุยกับ นายฮอร์ นัม ฮง รองนายกฯ และ รมต.ต่างประเทศกัมพูชา กัมพูชา

ในส่วนด้านกองทัพ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ให้สัมภาษณ์ สรุปว่า ทหารทั้ง 2 ฝ่ายหยุดยิงแล้ว โดยการประสานงานกันทุกระดับ ทั้งรัฐบาล รัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่จุดประสานงาน ที่วัดแก้วฯ ส่วนที่มีข่าวว่าทหารไทยถูกควบคุมตัวนั้น ความจริงไม่ใช่ เป็นหน้าที่ที่จะประสานกับเจ้าหน้าที่กัมพูชา ไม่มีทหารไทยถูกควบคุมตัวแต่อย่างใด ส่วนที่กัมพูชาออกข่าวนั้นก็แล้วแต่ ทหารก็ทำหน้าที่ของทหารในการติดต่อจนกระทั่งล่าสุดหยุดยิง และไม่มีการถูกควบคุมตัว ส่วนทหารบาดเจ็บมี 4 นาย อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้สื่อ กัมพูชารายงานว่า มีการควบคุมทหารไทย โดย พล.อ. เตียบันห์ รมว.กลาโหมกัมพูชา ยืนยันว่ามีทหารไทยถูกจับในวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ 4 นาย และผู้บัญชาการกอง กำลังพื้นที่ทั้ง 2 ประเทศได้นัดเจรจากันในเวลา 20.00 น. แต่ยังไม่ได้ระบุสถานที่ชัดเจน และหากมีการพิจารณาปล่อยตัวทหารทั้ง 4 นายจริง ก็น่าจะเป็นในวันรุ่งขึ้น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ขณะนั้น กล่าวถึงการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ที่บ้านภูมะเขือ ว่า สถานการณ์ล่าสุดเรียบร้อยแล้ว ทหารกัมพูชายุติการปะทะกันเมื่อเวลา 18.00 น. การอยู่ในสนามรบค่อนข้างยากในการประสานงานกัน ช่วงที่มีการรบเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ไม่อยากโทษว่าใครเริ่มก่อน ดังนั้น ทหารทั้งสองประเทศต่างทำหน้าที่ของตนเอง การปะทะกันนานพอสมควร ตั้งแต่ 15.00-18.00 น. ทุกอย่างก็เรียบร้อย แต่ไม่ทราบการสูญเสีย เท่าที่ทราบฝ่ายเราบาดเจ็บเล็กน้อยจำนวนหนึ่ง
ผมบอกว่าถ้ารบกันก็ต้องมีการบาดเจ็บ สูญเสีย มีชาวบ้านภูมิซรอลบาดเจ็บสาหัส เพราะมีกระสุนปืนใหญ่บางนัดตกเข้าในฝ่ายไทยหลังแนวเขาพระวิหาร ส่วนที่มีการข่าวว่าทหารไทยถูกจับนั้นไม่มี ตนเคยว่า แนวเขตชายแดนอยู่ห่างกันไม่มาก ดังนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้ อาจจะเกิดการเข้าใจผิดกันก็ได้สถานการณ์การรบที่อยู่ในการกดดัน เวลามีอะไรที่ผิดปกติก็อาจจะมีคนที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการปะทะกันก็ได้ แต่เราก็พยายามอย่างดีที่สุดที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย ซึ่งเราก็สามารถหยุดได้ในเวลาที่ไม่นานนัก
"เรามีกำลังทหารวางตลอดแนว ไม่เคยย้ายไปไหนเลย ฝ่ายกัมพูชาก็อยู่ตรงข้ามระยะใกล้กัน เมื่อถามว่า กัมพูชาจะประท้วงยูเอ็นว่า เรายิงเข้าไปในเขตแดนของเขาก่อน ผบ.ทบ.กล่าวว่า ก็ว่ากันไปเพราะเราประท้วงเขาได้ เขาก็ประท้วงเราได้ ทุกฝ่ายมีสิทธิเท่ากัน เท่าเทียมกัน ก็ว่าไปตามหลักฐาน เมื่อถามว่า ได้ข้อสรุปหรือยังว่าฝ่ายใดเริ่มก่อน ผบ.ทบ.กล่าวว่า พูดอย่างนี้ก็ไม่จบ ใครจะเริ่มก่อนเริ่มหลังตนไม่รู้ แต่เมื่อเริ่มไปแล้วก็ต้องหยุดให้ได้ แล้วไปหาทางว่าทำอย่างไรไม่ให้เกิดขึ้นอีก

เมื่อถามว่า ผบ.ทบ.ยืนยันได้หรือไม่ว่าจะไม่มีการยิงกันขึ้นอีก ผบ.ทบ.กล่าวว่า ตอบไม่ได้ ตราบใดที่มีการยั่วยุกันอยู่แบบนี้ มันพร้อมเกิดเหตุการณ์ได้ตลอดเวลา จะมากขึ้นหรือน้อยลงไม่รู้ แต่ผมเป็นผู้บังคับใช้กำลังทหาร จะพยายามไม่ให้เกิดเหตุการณ์สูญเสียและความรุนแรง จะดูแลไม่ให้ทหารบาดเจ็บ ประชาชนปลอดภัย
“ผมมีการวางแผน เตรียมความพร้อม ถ้าอยากจะรบก็รบ คงจะบาดเจ็บล้มตายกันมากกว่านี้ คนที่ไม่เคยรบก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าอยู่ในสนามรบ กระสุนปืนใหญ่ข้ามหัวไปมา ก็จะรู้ว่าเป็นอย่างไร ถึงไม่อยากจะรบ เพราะมันสูญเสียทั้งสองฝ่าย ซึ่งตอนนี้ในพื้นที่ก็กำลังเจรจากันอยู่ ถ้าไม่มีการเจรจาก็ยิงกันเรื่อยๆ โดยเรามีชุดประสานงานฝ่ายละ 5 คน คอยเจรจาเมื่อเกิดเหตุการณ์”
สำหรับ ในวันแรก มีการสรุปการปะทะเบื้องต้น พบว่า ทหารไทยได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 8 นาย ส่วนมากถูกสะเก็ดระเบิดที่ขา ที่เหลือก็มีอาการจากแรงระเบิด เช่น มีเลือดออกใต้ตา ปวดศีรษะ
การสู่รบยังดำเนินเข้าสู่วันที่สอง
เช้าวันที่ 5 เกิดเสียงปืนดังตั้งแต่ 6 โมงเช้า ได้เกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาขึ้นอีกครั้ง บริเวณช่องโดนเอาว์ ต.รุง อ.กันทรลักษ์ พื้นที่รอยต่อระหว่างภูมะเขือและภูลออ เขตเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร โดยทหารทั้ง 2 ฝ่ายที่ตรึงกำลังกันมาทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า ได้เดินลาดตระเวนพื้นที่มุ่งหน้าจะกลับฐานที่มั่น กระทั่งมาพบกันระหว่างทาง ทันทีที่เห็นทหารไทย ทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงใส่ก่อนด้วยปืนอาก้า และกระสุนอาร์พีจี ทหารไทยจึงเปิดฉากยิงตอบโต้และเกิดการปะทะกันประมาณ 30 นาที
หลังเสียงปืนสงบ ปรากฏว่า ส.อ.วุชรินทร์ ชาติคำดี สังกัดกรมทหารราบที่ 6 พัน. 2 จ.ยโสธร ถูกสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะเสียชีวิต พลฯธวัชชัย ศรีวิเศษ ถูกสะเก็ด ระเบิดที่เข่าขวา บาดเจ็บสาหัส อส.ทพ.สงคราม ธุรชัย ถูกสะเก็ดระเบิดที่หน้าอก บาดเจ็บสาหัส พลฯอุดร ศรีวะรมย์ และ ส.อ.เอกรินทร์ อินทะใส ถูกสะเก็ดระเบิดตามลำตัว เพื่อนทหารรีบนำส่ง รพ.กันทรลักษ์ และส่งตัวไปรักษาต่อที่ รพ.ค่ายสรรพสิทธิประสงค์
ส่วนราษฎรไทยในพื้นที่ใกล้จุดปะทะที่ยังไม่ได้อพยพมาเมื่อวานนี้ ได้อพยพมาเพิ่มเติม โดยมาพักอยู่ที่ ร.ร.บ้านท่าสว่าง ราว 1,000 คน และที่ห้องประชุม ร.ร.อนุบาลดำรงราชานุสรณ์ ในเขตเทศบาลกันทรลักษ์ อีกจำนวนมาก
ต่อมาเมื่อเวลา 08.15 น. พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เดินทางมาเยี่ยมราษฎรที่อพยพหนีภัยสงครามมาพักที่หอประชุมอำเภอกันทรลักษ์ และได้ไปเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บที่ รพ.กันทรลักษ์ ก่อนไปตรวจเยี่ยมพื้นที่บริเวณช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
ตลอดช่วงเช้าจนถึงบ่าย มีกระแสข่าวว่าทหารกัมพูชาจะยิงปืนใหญ่มาที่บ้านภูมิซรอลอีกครั้ง โดยไม่บอกเวลา ทำให้ราษฎรที่เฝ้ารักษาสิ่งของบางคนเริ่มอพยพเข้าไปในเมือง และยังมีกระแสข่าวการเสียชีวิตของฝ่ายทหารไทยว่ามีไม่ต่ำกว่า 11 ศพ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยืนยันว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด คาดว่าเป็นสงครามจิตวิทยาของทหารกัมพูชาที่มีญาติเป็นคนไทยปล่อยข่าวลือให้เกิดความหวาดกลัว
ขณะที่แหล่งข่าวทางทหารระบุว่า กัมพูชาจงใจยิงใส่โรงเรียน เพราะแนววิถีกระสุนของทหารทั้ง 2 ฝ่ายต่างรู้กันดี โดยแนวกระสุนจากฝ่ายไทยที่ไปตกในชุมชนชาวกัมพูชา ใกล้กับวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ เกิดมีไฟไหม้ไม่มากนัก เนื่องจากทหารไทยไม่ได้ตั้งใจจะยิงใส่ชุมชนชาวกัมพูชา ส่วนการเจรจาสงบศึกนั้นกำลังรอรัฐบาลและนายทหารระดับสูงดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในเวลา 10.30 น. พล.ท. ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 พ.อ.กนก ภู่ม่วง ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 8 ค่ายสีหราชเดโชชัย และนายทหารระดับสูงจากกองกำลังสุรนารี ประมาณ 15 นาย พร้อมคณะสื่อมวลชน ร่วมเดินทางข้ามด่านผ่านแดนถาวรช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ เข้าไปในพื้นที่ อ.อัลลองเวง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา และไปยังร้านจำหน่ายอาหาร “ซึม เมา” ห่างจากชายแดนไทย 1 กม. เพื่อประชุมร่วมกับนายทหารระดับสูงของกัมพูชา โดยมี พล.ท.เจีย มอญ ผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 พล.ต. นวน โน รองผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 พล.ท.สรั๊ย ดึ๊ก ผู้บัญชาการกองพลที่ 3 ประจำจังหวัดพระวิหาร และทหารกัมพูชาประมาณ 100 นาย คอยให้การต้อนรับ จากนั้นคณะได้นั่งโต๊ะเจรจาถึงปัญหาตามแนวชายแดนด้านปราสาทพระวิหารกันอย่างตึงเครียด
ต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารได้เชิญสื่อมวลชนทั้งไทย เขมร และต่างชาติ ออกจากห้องประชุม ระหว่างนั้นทหารกัมพูชาได้นำตัว พ.ต.วีรพงศ์ ไชยทองพันธ์ ส.อ.เวช นามบุญแฝง จ.ส.อ.อุดม วงค์งาม อส.ทพ.กงทอง วงค์ตาผา ซึ่งทหารทั้ง 4 นาย ถูกทหารกัมพูชาควบคุมตัวระหว่างทำหน้าที่เป็นชุดประสานงานที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ตั้งแต่ ช่วงบ่ายวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา มาปรากฏตัว พร้อมปล่อยตัวทหารทั้ง 4 นาย ต่อหน้าผู้บังคับบัญชาระดับสูงของทั้ง 2 ฝ่าย กระทั่งเวลา 12.00 น. การประชุมจึงเสร็จสิ้น และมีการรับประทานอาหารร่วมกันอย่างเป็นกันเอง
พล.ท.ธวัชชัย แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการเข้าใจผิดของผู้ปฏิบัติในระดับล่าง ส่วนผู้บังคับบัญชาในระดับสูงของทั้ง 2 ประเทศยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ส่วนการแก้ปัญหานั้น ในระดับล่างต้องทำความเข้าใจที่ดีต่อกัน และมั่นใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถที่จะแก้ไขได้
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลการเจรจาหารือของทหารทั้งสองฝ่ายสรุปว่าให้ยุติการสู้รบ และมีคำสั่งให้เปิดด่านผ่านแดนทุกจุดเป็นปกติในเวลา 13.00 น.วันเดียวกัน สร้างความดีใจให้กับประชาชนทั้ง 2 ประเทศที่มารอเดินทางเข้าไปท่องเที่ยว และซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นอย่างมาก

การข่าว ทหารเขมร เสียหายหนัก ลือตาย 64
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการสูญเสียชีวิตประชาชนคนไทย และแน่นอนขณะนี้มีรายงานว่าฝั่งกัมพูชาก็มีความสูญเสียเกิดขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งเราจะชี้แจงทำความเข้าใจกับนานาชาติ รวมทั้งทูตที่อยู่ในสหประชาชาติ คณะมนตรีความมั่นคง รวมทั้งบรรดาสมาชิกของยูเนสโก จะยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นผลพวงจากการเดินหน้าที่จะเข้าไปในพื้นที่ที่ยังไม่ได้ ตกลงกัน หรือยังไม่มีข้อยุติเรื่องเขตแดน
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีรายงานทหารกัมพูชาตายถึง 64 คน นายปณิธานตอบว่า ต้องรอให้มีการตรวจสอบ แต่เบื้องต้นขณะนี้รัฐบาลไทยได้รับรายงานว่าตัวเลขความสูญเสียของฝั่งกัมพูชาค่อนข้างสูง
เกี่ยวกับความสูญเสีย นั้น ต่อมา มีรายงานระบุ จากการปะทะในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ทางฝั่งไทย มีทหารพลีชีพ 1 นาย คือ ส.อ.วุชรินทร์ ชาติคำดี สังกัดกรมทหารราบที่ 6 พัน. 2 จ.ยโสธร ถูกสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะเสียชีวิต โดยมีผู้บาดเจ็บอีก 4 นาย
ด้าน พ.อ.สรรเสริญ โฆษกกองทัพบก เวลานั้น กล่าวถึง การดูแลเยียวยาความเสียหายด้านกำลังพล โดยเฉพาะกรณีทหารไทยเสียชีวิตจากการปะทะว่า มีระเบียบของกองทัพในการเยียวยาอยู่แล้ว และต้องถือว่าทหารไทยได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ สละชีวิตเพื่อป้องกันบ้านเมือง ซึ่งเรายกย่องและให้เกียรติ และจะมีการดูแลอย่างเต็มที่ตามที่ ผบ.ทบ.ได้พูดไปแล้ว
ส่วนความเสียหายจากการปะทะของทั้ง 2 ฝ่ายที่รับรายงานล่าสุดมีดังนี้ ฝ่ายไทยเมื่อวันที่ 4 ก.พ. ซึ่งเริ่มมีการปะทะ มีทหารไทยบาดเจ็บ 8 นาย มาวันที่ 5 ก.พ. ปะทะเป็นวันที่ 2 บาดเจ็บอีก 4 นาย เสียชีวิต 1 นาย รวมทหารไทยบาดเจ็บทั้งสิ้น 12 นาย เสียชีวิต 1 นาย แต่มีพลเรือนไทยเสียชีวิตด้วย 1 ราย
ส่วนฝ่ายกัมพูชาทราบว่าได้รับความเสียหายเยอะ ทหารเสียชีวิตจากการปะทะ 60-64 นาย สูญเสียรถถังและยานเกราะ 12-13 คัน แต่ไม่มีพลเรือนกัมพูชาเสียชีวิต และขอฝากถึงคนไทยที่เป็นห่วงว่ากองทัพได้ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ และยืนยันว่าเราไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน และไม่สามารถห้ามการตอบโต้ได้ หากไม่มีการตอบโต้จะไม่เกิดกระบวนการเจรจา และลำพังการใช้การเจรจาเพียง อย่างเดียวโดยไม่มีการตอบโต้ก็คงไม่สำเร็จ ดังนั้นประชาชนที่รักชาติทั้งหลาย ก็ขอให้ใช้สติคิดให้ดี
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นคำยืนยันตัวเลขอย่างเป็นทางการในเวลานั้น แต่ช่วงนั้น ก็มีกระแสข่าวลือว่า ทางกัมพูชา เสียหายมากกว่าที่รายงานด้วย
ขณะที่สื่อทางกัมพูชา เอง ก็ระบุว่า ไทยบิดเบือนการสูญเสีย โดยบอกว่า ทหารกัมพูชา เสียชีวิตเพียง 2 นาย ซึ่ง 1 ใน 2 นายนั้น ไม่ได้ถูกทหารไทยยิง แต่เป็นการเสียชีวิตจากการทำปืนลั่นใส่ตัวเอง
ขณะที่ ทางการเมืองนั้น ทางเขมร ก็ใช้สูตรเดิม คือ การฟ้องร้องไปทางยูเอ็น กล่าวหา ไทยรุกรานก่อน ...
ขณะที่การเจรจาหยุดยิงทำท่าจะไปได้ จู่ๆ ก็เกิดเสียงปืนยิงตอบโต้กัน บริเวณใกล้กับช่องโดนเอาว์ ชายแดนเขาพระวิหาร ด้านภูมะเขือ บ้านชำเม็ง ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ช่วงเวลา 22.00 น. วันที่ 5 ก.พ. แต่ครั้งนี้ไม่มีผู้บาดเจ็บ หรือ เสียชีวิต ขณะที่ทหาร ไทยก็จับทหารเขมรได้ 6 นาย หลังจากทำประวัติ ก็ได้ปล่อยตัวไป …
อย่างไรก็ตาม ได้มีการปะทะกันในรอบ ที่ 3 ในช่วง 6 โมงเย็นของวันที่ 6 ก.พ. รายงานข่าวต่างประเทศ ที่สัมภาษณ์ ร้อยโทเพ็น ส่อง นายทหารกัมพูชา ระบุว่า จุดปะทะอยู่ที่ เขาพนมโตร๊ป หรือภูมะเขือ ห่างจากเขาพระวิหารไป 3 กิโลเมตร ทั้งสองฝ่ายมีการยิงปืนใหญ่ รวมถึงปืนครกใส่กัน

ทหารกัมพูชา ยิงลูกแฟร์ ก่อนถล่มไทย
ด้าน พ.อ.สรรเสริญ ได้ให้สัมภาษณ์ในเวลา 20.00 น. วันเดียวกันว่า ทหารกัมพูชาได้ใช้กระสุนส่องสว่างยิงเข้ามาตกที่ภูมะเขือและช่องโดนเอาว์ ขณะที่ทหารไทยได้ยิงปืนใหญ่ตอบโต้ และการปะทะยังคงดำเนินไป อย่างต่อเนื่อง
รายงานข่าวระบุว่า ในช่วงค่ำที่เริ่มเปิดฉากปะทะรอบใหม่นั้น ทหารเขมรได้เปิดฉากใช้ปืนใหญ่ขนาด 105 มม. ยิงถล่มเข้ามาในเขตไทยอีกระลอก กระสุนตกบริเวณบ้านโนนเอาว์ ต.รุง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ และตลอดแนวชายแดนจากบ้านโนนเอาว์ ไปจนถึงบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย ระยะทางประมาณ 5 กม. เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ระหว่างนั้นทหารไทยที่ตั้งฐานปืนใหญ่จำนวน 3 ฐาน ได้ใช้ปืนใหญ่ ยิงตอบโต้ไปจนเกิดดวลกันด้วยปืนใหญ่เข้าใส่กันเป็นระลอก และเป็นที่สังเกตว่าการยิงของทหารเขมรได้ใช้หน่วย ตรวจการหน้ายิงลูกแฟร์ หรือไฟส่องสว่างเข้ามาก่อนจะยิงปืนใหญ่ตามมา และค่อนข้างจะแม่นยำ อย่างไรก็ตาม จนถึงช่วงประมาณ 21.00 น. การสู้รบของทั้ง 2 ฝ่ายยังคงเป็นอย่างดุเดือด มีการยิงถล่มกันด้วยปืนใหญ่อย่างหนักและต่อเนื่อง ซึ่งตรงกับที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาว่า การยิงตอบโต้กันยังไม่มีท่าทีว่าจะสงบ อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าทางผู้บังคับบัญชาและผู้ใหญ่ในรัฐบาลได้พยายามประสานไปยังผู้ใหญ่ ฝ่ายกัมพูชาขอให้หยุดยิง ซึ่งก็ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ฉะนั้น ทางฝ่ายทหารไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตอบโต้ เพื่อไม่ให้เกิดการเสียเปรียบในการเจรจาหยุดยิง แต่ก็เชื่อว่าสถานการณ์น่าจะคลี่คลายได้ในที่สุด
เวลา 22.30 น. พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ได้ให้สัมภาษณ์สื่อถึงการปะทะระหว่างกองกำลังทหารไทยกับกองกำลังทหารกัมพูชาอีกครั้งว่า เมื่อเวลา 21.25 น. ได้รับแจ้งจากทหารไทยในพื้นที่การปะทะกันว่า ทหารกัมพูชาได้หยุดยุติการระดมยิงมายังฝั่งไทยแล้ว ทางทหารไทยจึงยุติการยิงปืนใหญ่เช่นกัน ทั้งนี้ ยืนยันว่ามาตรการตอบโต้ของไทยทั้งหมดเกิดขึ้นตามความเหมาะสม แต่ยอมรับว่าการยิงตอบโต้ครั้งนี้รุนแรงกว่าการปะทะเมื่อวันที่ 4 และ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา เพราะมีกระสุนตกลึกเข้ามาในไทยมากกว่าเดิม และมีทหารบาดเจ็บกว่า 10 นาย แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต เพราะได้ให้อพยพชาวบ้านเข้ามาแล้ว
เช้าวันที่ 7 ก.พ. เสียงปืนยังดังกึกก้อง กำลังทหารจากกรม ทพ.ที่ 23 เดินทางเข้าไปขนย้ายทหารที่เจ็บป่วย ซึ่งวางกำลังอยู่ในแนวปะทะบริเวณฐาน ใกล้ภูมะเขือ ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ฝ่ายทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงโจมตีด้วยกระสุนปืนใหญ่ ปืน ค.60 และจรวดอาร์พีจีเข้าใส่อย่างละหลายลูก ตามด้วยการสาดกระสุนปืนประจำกายเข้า ใส่ไม่ยั้ง
ฝ่ายทหารไทยจึงยิงตอบโต้กลับไป ทั้งอาวุธหนักและอาวุธเบานานประมาณ 20 นาที ก่อนที่สองฝ่ายจะหยุดยิงอีกครั้ง โดยเสียงปืนที่เกิดการยิงปะทะครั้งนี้ ดังไปไกลถึงที่ทำการอำเภอกันทรลักษ์ ส่งผลให้ประชาชนที่อพยพหนีภัยสงคราม มาพักอยู่ที่วิทยาลัยการอาชีพกันทรลักษ์ และที่ว่าการอำเภอกันทรลักษ์ ตื่นตกใจ สำหรับการยิงปะทะกันครั้งล่าสุดนี้ ไม่มีรายงานความสูญเสียหรือบาดเจ็บของฝ่ายไทยแต่อย่างใด
นพ.วันชัย เหล่าเสถียรกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 ก.พ. จนถึงเวลา 09.00 น. วันที่ 7 ก.พ. ได้รับรายงานผู้บาดเจ็บรวม 17 ราย แบ่งเป็นทหาร 15 นาย พลเรือน 2 คน ส่วนใหญ่มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย และมีสาหัส 1 นาย เป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ถูกส่งตัวไปรับการรักษาต่อที่ รพ.ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ส่วนความต้องการยาและเวชภัณฑ์ ยืนยันขณะนี้ รพ.กันทรลักษ์มีครบ

ฮุนเซน ด่าไทย ไม่ใช้สมองแก้ปัญหา
ขณะเดียวกัน ในนายฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา กล่าวในงานมอบเกียรติบัตร นักศึกษามหาวิทยาลัยหนึ่ง โดยกล่าวหาไทยรุกรานเขมร ทำให้ปราสาทเขาพระวิหารเสียหาย เรื่องนี้จะร้องเรียนไปยังสหประชาชาติ โดยไม่สนใจว่าไทยจะพอใจหรือไม่ ขอให้สหประชาชาติส่งกำลังสันติภาพเข้ามา
นอกจากนี้ นายฮุนเซน ยังกล่าวถึง ฮุนมาเนต ลูกชายว่า ได้รับการแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งนายพลระดับ 2 ดาว หรือพลตรี ให้ ทำหน้าที่กำกับดูแลบัญชาการยุทธศาสตร์บริเวณชายแดน และมีส่วนในการเจรจาลดความขัดแย้งกับฝ่ายไทยด้วย
"เรากำลังปกป้องดินแดนของเรา เราไม่ต้องการดินแดนของไทยแม้เพียงเสี้ยวเล็กน้อย แม้ว่าไทยต้องการให้ดินแดนแก่เรา เราก็ไม่ต้องการรับ กัมพูชาไม่ใช่ขนมขบเคี้ยวให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย ใช้เป็นเครื่องมือเอาอกเอาใจกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” นายฮุนเซนกล่าว
"ประเทศไทยเต็มไปด้วยคนมีความรู้ คนมีความสามารถ แต่ทำไมจึงไม่ใช้กฎหมายระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือดำเนินการตกลงแก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดน หากกลับใช้วิธีการก้าวร้าวและรุกรานประเทศเล็กๆอย่างกัมพูชา" นายฮุน เซน กล่าวเย้ยหยันไทยว่าชอบใช้กำลังแต่ไม่ใช้สมอง”

ข่าวลือ "ฮุนมาเนต" ชนวนเหตุปะทะเดือด?
อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวว่า “ต้นเหตุ” ของการปะทะ ครั้งนี้ อาจจะมาจากนาย “ฮุนมาเนต”
มีรายงานข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงว่า มีการประเมินสาเหตุที่สถานการณ์การปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ยังมีความตึงเครียด ยืดเยื้อและไม่ยุติ ว่าเป็นเพราะ พล.ท.ฮุน มาเน็ต บุตรชายของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เพิ่งได้รับการติดยศเป็น พล.ท. โดยดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.กองพลทหารราบ และรอง ผบ.หน่วยองครักษ์ฮุน เซน เมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความอ่อนอาวุโส เพราะมีอายุเพียง 33 ปี ต้องการพิสูจน์ตนเองเพื่อให้ได้รับการยอมรับในฐานะว่าที่ผู้สืบทอดของสมเด็จฮุน เซน โดย พล.ท.ฮุน มาเน็ต ซึ่งคุมกองกำลังหน่วยองครักษ์ฮุน เซน เป็นผู้นำการเคลื่อนอาวุธหนัก เข้ามาในพื้นที่ปราสาทพระวิหารในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์ตามแนวชายแดนพัฒนาไปอีกขั้น
โดยทำให้ต่างฝ่ายต่างเสริมกำลังและเกิดการเผชิญหน้าทางทหาร แม้ก่อนหน้านี้หน่วยองครักษ์ฮุนเซน จะตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมาเป็นปีแล้วก็ตาม แต่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ฮึง บุน เฮียน ผบ.หน่วยองครักษ์ฮุน เซน อย่างไรก็ดี เนื่องจากการปะทะกันเมื่อวันที่ 4 ก.พ. ฝ่ายกัมพูชาสูญเสียค่อนข้างหนัก จึงอาจมีความพยายามที่จะเอาคืน
นายปณิธาน กล่าวว่า เราขอสงวนสิทธิการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ไว้ในระดับทวิภาคี เพราะเชื่อว่าสามารถแก้ปัญหาร่วมกันได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นผลมาจากการมีความพยายามที่จะยกระดับเรื่องนี้สู่ระดับนานาชาติ มีความพยายามแก้ปัญหาเรื่องพรมแดน ดินแดน อธิปไตย โดยนำบุคคลหรือประเทศอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงทำให้เกิดผลกระทบบานปลายออกไป เรายืนยันกับองค์กรเหล่านั้นว่า ควรจะต้องให้ไทย-กัมพูชา แก้ไขปัญหานี้ด้วยตัวเอง ตามวิธีทางของทั้ง 2 ประเทศ
หลังการปะทะในหลายระลอก สถานการณ์ต่างๆ ก็เริ่มคลี่คลายลง กระทั่ง เริ่มระอุอีกครั้งในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ โดยมีรายงานว่า ทหารฝั่งไทย และ กัมพูชา ยังคงเสริมกำลังเข้าไป แตต่ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่า มีความมั่นใจในสถานการณ์มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เพราะต้องดูความเคลื่อนไหวของกัมพูชา แต่คิดว่าเขาคงไม่มาทำอะไรชาวบ้าน เพราะปัจจุบันสังคมโลกวิจารณ์การกระทำของกัมพูชามากมาย จะทำอะไรก็ตามจะต้องไม่ให้ ประชาชนเดือดร้อน
เมื่อถามอีกว่า มีการพูดคุยกับทางกัมพูชาอีกหรือไม่ พล.ท.ธวัชชัยกล่าวว่า ระยะหลังๆโทรศัพท์พูดคุยกันแต่จะไม่เข้าไปพูดกันต่อหน้า เพราะว่าเราเห็นว่าบางทีพูดคุยกันแล้ว แต่ทางกัมพูชาไม่สามารถควบคุมลูกน้องของเขาได้ ต้องให้เวลาเขาสักระยะ เวลาคุยก็รับปาก รับคำดี เพราะว่าตนรู้จัก พล.ท.เตีย มอญ แม่ทัพภาคที่ 4 ของกัมพูชาดี
อย่างก็ตาม ช่วงค่ำในวันเดียวกันนี้ มีรายงานข่าวว่า พบความเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชาบริเวณปราสาทพระวิหาร ที่ยังคงตรึงกำลังเข้ม มีการตั้งฐานปฏิบัติการขนาดย่อย มีทหารประจำฐานจุดละ 30-40 นายตลอดแนวปราสาทพระวิหาร และภูมะเขือ รวมถึงมีการนำอาวุธหนักปืน ค.82 ปืน ปรส.85 เครื่องยิงจรวดอาร์พีจีขึ้นไปเสริมในพื้นที่เต็มพิกัด นอกจากนี้ยังมีการเสริมกำลังจากกองพลน้อยที่ 911 ซึ่งเป็นหน่วยจู่โจมมาตรึงกำลังบริเวณตรงข้ามช่องซำแต ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์
ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวว่า พล.ท.ฮุน มาเนตลูกชายของสมเด็จฮุน เซน ที่มีข่าวว่าได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับทหารไทยเมื่อหลายวันก่อนได้กลับมาบัญชาการรบบริเวณภูมะเขือ ร่วมกับ พล.ท.สรัย ดึ๊ก ผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 ที่คุมกำลังในบริเวณดังกล่าว … เมื่อสอบถามไปยังนายทหารระดับสูงในพื้นที่ กลับปฏิเสธข่าวดังกล่าว
กระทั่งเวลา 23.40 นาที ได้เกิดเสียงคล้ายระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นที่บริเวณภูกระแชง ซึ่งเป็นภูเขาติดกับ
ภูมะเขือใกล้ปราสาทพระวิหาร 11 ครั้ง ทำให้ชาวบ้านหมู่ 12 บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย แตกตื่นตกใจ ซึ่งก็มีรายงานต่อมาว่า ทหารเขมร ได้ทำการยิงปืนใหญ่เข้ามา …
ยิงไป เจรจาไป ปัญหาไม่จบ ดึงนานาชาติแทรกแซง
อย่างไรก็ตาม การยิงปะทะ ระหว่างไทย กัมพูชา เริ่มมีทางออก เมื่อเรื่องทั้งหมดไปจบที่ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) โดยมีการเปิดประชุม เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐฯ โดยเนื้อหา สรุปว่า ยูเอ็นเอสซีสนับสนุนการแก้ปัญหาโดยช่องทางการทูตและแบบทวิภาคีโดยมีอาเซียนเป็นพี่เลี้ยง เพราะไทยกับกัมพูชามีกระบวนการและเครื่องมือสำหรับแก้ปัญหาร่วมกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (เจบีซี) และอื่นๆ รวมทั้งความร่วมมือทางทหาร ซึ่งขั้นตอนต่อไปคือกรรมาธิการกลาโหม หรือไม่ก็ รมว.กลาโหมของทั้ง 2 ฝ่าย ควรประชุมกันโดยเร็วเพื่อบรรลุข้อตกลงหยุดยิงถาวรต่อไป
นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ไทยมีข้อตกลงและความร่วมมือหลายอย่างกับกัมพูชา ไม่ว่าทางการค้าและการท่องเที่ยว อีกทั้งยังต้องการแก้ปัญหาอื่นๆ อย่างเช่น ยาเสพติดและการลักลอบค้ามนุษย์กับกัมพูชามากกว่า จึงไม่มีเหตุผลที่ไทยต้องก่อสงครามหรือยิงก่อน ส่วนการที่ต้องบินมาชี้แจงต่อยูเอ็นเอสซีครั้งนี้เป็นเพราะกัมพูชาเป็นฝ่ายยื่นเรื่องฟ้อง สำหรับเรื่องที่จะประชุมกับ รมว.ต่างประเทศอาเซียนตามคำเชิญของอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียนในวันที่ 22 ก.พ.นี้ นายกษิตระบุว่าไทยจะใช้โอกาสนี้แจ้งต่อที่ประชุมว่า มีเครื่องมือหรือกลไกแก้ปัญหาอยู่แล้ว และไทยก็พร้อมสนับสนุนแนวทางแก้ปัญหาแบบทวิภาคี
นายฮอร์ นัมฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชา แถลงต่อที่ประชุมยูเอ็นเอสซีกล่าวหาไทยก่อสงครามรุกรานกัมพูชาและแม้มีข้อตกลงหยุดยิงอยู่ 2 ฉบับ แต่สถานการณ์ ยังอ่อนไหวอย่างมาก อาจเกิดการต่อสู้อีกทุกเมื่อ นอกจากนี้ยังกล่าวหาทหารไทยใช้อาวุธต้องห้ามตามข้อตกลงระหว่างประเทศ อย่างระเบิดดาวกระจายและปืนใหญ่ยิงเข้ามาเขตแดนกัมพูชาไกลถึง 20 กม. ดูได้จากร่องรอยความเสียหายที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ เหตุโจมตีของไทยทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 คน ในจำนวนนี้ 2 คน เสียชีวิตจากระเบิดดาวกระจาย และยังมีผู้บาดเจ็บอีก 71 คน แต่แม้กัมพูชาต้องการให้ยูเอ็นส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าช่วยระงับเหตุ แต่นายฮอร์ นัมฮง ระบุว่ากัมพูชายินดีต้อนรับการยื่นมือเข้าช่วยคลี่คลายปัญหาของอาเซียนนับแต่ไทย-กัมพูชา ไม่สามารถแก้ปัญหาพรมแดนกันได้ตั้งแต่ปี 2551
เมื่อถึงช่วงที่แถลงต่อที่ประชุมยูเอ็นเอสซี นายกษิต แถลงปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่า ทหารไทยใช้ระเบิดดาวกระจาย และกล่าวหาทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงทหารไทยก่อน อีกทั้งยังอยู่ในดินแดนของไทยด้วย เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังตนกับนายฮอร์ นัมฮง ประชุมกันด้วยความสำเร็จ และเต็มไปด้วยความจริงใจ ที่เมืองเสียมราฐ ผลพวงการยิงโจมตีของฝ่ายกัมพูชา ทำให้ทหารและพลเรือนเสียชีวิตฝ่ายละ 2 คน และยังมีทหารกับพลเรือนบาดเจ็บอีกหลายคน อาคารของพลเรือนเสียหายหลายหลัง ชาวบ้านต้องอพยพหนีภัยราว 20,000 คน
“กัมพูชาเปิดฉากโจมตี เพื่อต้องการเลี่ยงการเจรจาปัญหาพรมแดนระหว่างทั้งสองฝ่าย เพื่อว่าจะสามารถผ่านอนุมัติแผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหารในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่ประเทศบาห์เรน กลางปีนี้ พร้อมเรียกร้องคณะกรรมการมรดกโลกและองค์การยูเนสโก ยุติกิจกรรมใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับปราสาทพระวิหารไว้ก่อน จนกว่าการเจรจาแก้ข้อพิพาทพรมแดนจะได้รับการแก้ไขสำเร็จ ทั้งเน้นย้ำไทยไม่มีความตั้งใจ หรือปรารถนาเข้ายึดดินแดนเพื่อนบ้าน และยึดมั่นหลักสันติภาพ ไทยยังได้เสนอจัดเวทีการประชุมปัญหาพรมแดนกับกัมพูชา อีกวาระในปลายเดือน ก.พ. และยังเชื่อว่าข้อพิพาทควรได้รับการแก้ ปัญหาระหว่างสองชาติที่เกี่ยวข้องเป็นดีที่สุด”
การประชุมที่ยูเอ็นเอสซี เช้านี้นาน 3 ชั่วโมง กัมพูชาไม่บรรลุเป้าหมายที่อยากจะให้ยูเอ็นเข้ามาแทรกแซง ให้ยูเอ็นส่งคนมาสังเกตการณ์ โดยยูเอ็นเอสซีได้เรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาหันมาเจรจาทวิภาคี ได้ย้ำต่อที่ประชุมว่า เรามีกลไกเจรจาทวิภาคีทั้ง เจบีซีคือระดับกระทรวงการต่างประเทศ จีบีซี คือระดับ รมต.กลาโหมและอาร์บีซีคือ ระดับแม่ทัพในพื้นที่ ทั้งฝ่ายไทยก็ได้เชิญ ฝ่ายกัมพูชา มาร่วมประชุมเจบีซีในวันที่ 27 ก.พ.นี้ ที่ กทม. ได้ยืนยันผ่านทางสื่อและหลายประเทศ ว่า พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม มีความพร้อมที่จะพบปะพูดคุย"
อย่างไรก็ตาม เช้าวันเดียวกันนี้ก็เกิดเสียงปืนดังขึ้น เมื่อเวลาประมาณ 05.20 น. วันที่ 15 ก.พ. ขณะที่ทหารไทยที่จัดวางแนวตรึงกำลังภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ ในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ถอนกำลังจากแนว เพื่อกลับเข้าที่ตั้ง ได้ถูกทหารกัมพูชาซุ่มยิงด้วยปืนสงคราม ทำให้ปะทะกันประมาณ 10 นาที เป็นเหตุให้ ส.ท.รัฐพล ยศปัญญา อายุ 23 ปี ทหารจาก จ.ลพบุรี ที่เพิ่งมาประจำการเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ถูกยิงบาดเจ็บสาหัส นำส่ง รพ.กันทรลักษ์ ก่อนแพทย์ส่งต่อไปยัง รพ.ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
ขณะที่ นายดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตเอกอัคร-ราชทูตผู้แทนถาวรไทย ประจำองค์การสหประชาชาติ กล่าวถึงกรณีมติของยูเอ็นเอสซี ว่า เรื่องที่น่ายินดีคือ การให้ยุติการใช้กำลังหยุดยิงกัน แต่การให้ 2 ประเทศไปหารือ 2 ฝ่าย โดยให้อาเซียนเป็นพี่เลี้ยง ไม่ได้เป็นชัยชนะของประเทศไทยตามที่หลายฝ่ายเข้าใจ เพราะไม่ได้เป็นการหารือแบบทวิภาคีจริงๆตามที่ไทยต้องการ แต่ครั้งนี้จะมีสมาชิกอาเซียนเข้ามาเป็นผู้คอยกำกับอีกชั้นหนึ่ง แตกต่างจากการดำเนินการในปี 2551 ที่ไทยยืนยันว่าจะต้องเป็นการหารือในระดับทวิภาคีเท่านั้น เพราะการให้อาเซียนเข้ามาเป็นตัวกลางครั้งนี้ เข้าทางแผนสองของกัมพูชาที่วางไว้ตั้งแต่ปี 2551
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีความพยายามแก้ปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหาร จนนำมาสู่การเข้ามาไกล่เกลี่ยของประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งมีการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 22 ก.พ. และหลังจากใช้เวลาประชุมนานราว 1 ชั่วโมง ในที่สุดนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ผู้นำคณะไปร่วมประชุมได้โทรศัพท์จากประเทศอินโดนีเซีย มาที่กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการว่า ไทยและกัมพูชาให้คำมั่นสัญญาต่อกันว่าจะไม่ให้มีการปะทะกัน โดยเป็นการให้ความมั่นใจ ซึ่งกันและกันต่ออาเซียนและประชาคมโลก โดยสองประเทศตกลงให้มีทหารผู้สังเกตการณ์จากประเทศอินโดนีเซีย เข้าไปสังเกตการณ์ในพื้นที่ของไทยและกัมพูชา ฝ่ายละ 15 คน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องกันว่า ยังคงใช้การเจรจาในกรอบทวิภาคีดำเนินการแก้ไขปัญหาต่อไป ทั้งการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชา คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา ซึ่งจะมีการประชุมกันที่อินโดนีเซีย โดยอินโดนีเซียจะเป็นผู้เชิญไทยและกัมพูชามาประชุม อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมไม่มีการเซ็นสัญญาหยุดยิง และไม่ต้องเซ็น เพราะทุกอย่างอยู่ในถ้อยแถลงของประธานอาเซียน ที่ได้ประกาศไปแล้วหลังการประชุม
อย่างไรก็ตาม การปะทะ กันครั้งนี้ ทำท่าว่าจะจบ แต่ไม่จบ

ศึกรอบใหม่ จรวด BM 21 ถล่มไทย
เข้าสู่หน้าร้อนเดือนเมษายน สถานการณ์ตึงเครียดเกิดขึ้น คราวนี้ดุเดือดกว่าครั้งก่อน เมื่อคราวนี้มีเหตุปะทะกันอีกจุดที่ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ที่เริ่มต้นเมื่อช่วงวันที่ 20 เมษายน และมาดุเดือดในวันที่ 26 เมษายน
ฝ่ายกัมพูชาได้ใช้เครื่องยิงจรวด 40 ลำกล้อง แบบบีเอ็ม 21 ถล่มเข้าใส่พื้นที่พลเรือนใน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ และ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นเขตรอยต่อติดกับพื้นที่ อ.พนมดงรัก ยังผลให้มีชาวบ้านบาดเจ็บจำนวนหนึ่งและมีผู้เสียชีวิต 1 ราย เป็นชาวบ้านในพื้นที่ บ้านเรือนไร่นาเสียหายเป็นวงกว้าง ทำให้ทหารไทยต้องเปิดฉากยิงตอบโต้กลับด้วยกระสุนปืน ค. และปืนใหญ่ เพื่อถล่มฐานที่ตั้งเครื่องยิงจรวดบีเอ็ม 21 ของฝ่ายกัมพูชา เกิดการปะทะกันอย่างดุเดือดนานหลายชั่วโมงสร้างความสูญเสียให้กับกำลังทหารฝ่ายกัมพูชาอย่างหนัก กระทั่งต้องหยุดยิงโจมตีฝ่ายไทยอย่างเด็ดขาดเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น.คืนวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา
เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา ที่พยายามยั่วยุด้วยวิธีการต่างๆนานา โดยเฉพาะการยิงถล่มใส่ที่หมายของพลเรือนในฝั่งไทย และพยายามจะเข้ายึดครองพื้นที่พิพาทยังคงมีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 แล้ว โดยเมื่อเวลา 05.15 น. วันที่ 27 เม.ย.ทหารกัมพูชาประมาณ 1 กองร้อยได้เคลื่อนพลขยับเข้าใกล้พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย ใกล้กับฐานหมูหิน ซึ่งมีกำลังทหารพรานร้อย ทพ.960 961 962 และทหารจาก ร. 23 พัน. 4 ตรึงกำลังไว้ เกิดการยิงปะทะกันด้วยปืนเล็กยาวและปืน ค. นานประมาณ 45 นาที ฝ่ายทหารกัมพูชาจึงล่าถอยกลับลงไป โดยทหารกัมพูชาต้องช่วยกันแบกร่างเพื่อนทหารที่บาดเจ็บและเสียชีวิตล่าถอยไปแบบทุลักทุเลด้วย ขณะที่ฝ่ายไทยไม่มีใครบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 (ส่วนหน้า) จ.สุรินทร์ เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงการปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาว่า เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 26 เม.ย. ฝ่ายไทยตรวจพบว่าทหารกัมพูชาเคลื่อนกำลังเข้าใกล้ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย พร้อมทั้งระดมยิงอาวุธปืนเล็กและขว้างระเบิดมือเข้าใส่ทหารไทยที่เฝ้ารักษาการณ์ตลอดเวลา ทำให้ทหารไทยต้องตอบโต้กลับด้วยอาวุธปืนเล็กยาว ตรึงทหารกัมพูชาให้หยุดอยู่กับที่ไม่สามารถรุกคืบเข้ามาได้อีก ต่อมาเวลา 08.00 น. ฝ่ายกัมพูชาได้เคลื่อนย้ายหน่วยยิงจรวดบีเอ็ม 21 จำนวน 3 หน่วยยิง (3 คันรถ) เข้ามาประจำจุดหลังปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ โดยเล็งเป้ามายังฐานของทหารไทยและพื้นที่บ้านหนองคันนา ซึ่งอยู่ห่างแนวชายแดนเข้าไปประมาณ 3 กม. แต่ยังไม่มีการยิงจรวดเข้ามาในฝั่งไทย
กระทั่งเวลา 15.00 น. วันที่ 26 เม.ย. ทหารกัมพูชาได้ยิงจรวดบีเอ็ม 21 จากฐานยิงตรงข้ามบ้านโคกกระชาย ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ รอยต่อกับ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ที่อยู่ในแนวปะทะและไม่อยู่ในพื้นที่พิพาทแต่อย่างใดจำนวนถึง 21 ลูก ระเบิดทำงาน 19 ลูก อีก 2 ลูกไม่ระเบิด ประชาชนบาดเจ็บ 4 ราย ถูกส่งไปรักษาตัวที่ รพ.บุรีรัมย์ บ้านเรือนพังเสียหายบางส่วนจำนวน 6 หลัง เสียหายทั้งหมด 1 หลัง วัวตาย 1 ตัว ระบบประปาเสียหายจำนวน 1 จุด ทหารไทยตอบโต้กลับด้วยปืนใหญ่ตลอดแนวชายแดนปราสาทตาเมือนธม-ปราสาท ตาควายและตอบโต้เข้าไปยังพื้นที่กัมพูชาทุกแห่งที่มีฐานทหารกัมพูชาตั้งอยู่
ต่อมาเวลา 18.45 น. วันที่ 26 เม.ย. ทหารกัมพูชา ได้ยิงจรวดบีเอ็ม 21 เข้ามาตกในพื้นที่บ้านโคกเบง ต.แนงมุด อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ โดยจรวดบีเอ็ม 21 กระจายตกเป็นบริเวณกว้าง สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับ สภ.แนงมุด ต.แนงมุด อ.กาบเชิง และที่บ้านน้อยร่มเย็น ต.กาบเชิง อ.กาบเชิง มีผู้เสียชีวิต 1 รายคือ นายวีระยุทธ บัวบาน อายุ 25 ปี ราษฎรบ้านน้อย-ร่มเย็น ที่วิ่งหนีห่าจรวดไปซ่อนตัวในร่องสวนหลังศูนย์หม่อนไหม หมู่ 8 บ้านน้อยร่มเย็น แต่กลับโชคร้ายถูกจรวดตกใส่จุดที่หลบอยู่พอดีเสียชีวิตในสภาพร่างแหลกเหลว นอกจากนี้ ทหารกัมพูชายังยิงจรวดบีเอ็ม 21 เข้าใส่ในพื้นที่บ้านอุโลก บ้านหนองตาเลิ๊บ และบ้านหัวอ่าง ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ทำให้ต้องเร่งอพยพชาวบ้านบางส่วนที่กลับมาอยู่บ้านออกไปอยู่ที่ศูนย์อพยพชั่วคราวอีกครั้ง โดยทหารไทยได้ระดมยิงปืนใหญ่ตอบโต้กลับอย่างดุเดือดเช่นกัน จนถึงเวลา 22.30 น. เสียงปืนของฝั่งกัมพูชาได้เงียบไป
ด้าน อส.ทพ.ไกรศักดิ์ ทรัพย์โยธิน สังกัดร้อย ทพ.ที่ 960 เผยว่า การโจมตีของทหารกัมพูชาเป็นลักษณะลอบเข้ามาทำร้ายแล้วหนีลงไปในที่ต่ำ สำหรับเหตุการณ์ยิงปะทะกันตลอดทั้งวันที่ 26 เม.ย. จากการตรวจสอบด้วยสายตาพบว่าทหารกัมพูชาถูกกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายไทยเสียชีวิตจำนวนมาก ตรวจนับได้คร่าวๆไม่ต่ำกว่า 50 นายทั้งหมด เป็นทหารในการควบคุมดูแลของ ร.ต.ริง รอน ถูกชักลากกลับไปฝังไว้ในเขตแดนกัมพูชา และยังมีทหารกัมพูชาได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก สังเกตได้จากจำนวนรถลำเลียงที่เข้ามารับทหารบาดเจ็บส่งกลับไปรักษาที่ค่ายซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนเข้าไปประมาณ 15 กม.นับสิบเที่ยว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น กล่าวถึงเรืองนี้ว่า “เขมรต้องหยุดยิงทันที จึงจะมีการเจรจา ถ้าไม่หยุดยิง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะคุยกัน สาเหตุที่เขมรก่อเหตุรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวัน เพราะต้องการที่จะยกระดับความรุนแรงของข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนไปสู่เวทีสากล ให้ประเทศที่สามเข้ามายุ่งเกี่ยวเพื่อหวังผลความได้เปรียบ ขณะที่ฝ่ายไทยไม่พยายามที่จะเดินตามแผนของกัมพูชา แต่ถ้ายิงมาเราก็ต้องตอบโต้ เพื่อที่จะรักษาอธิปไตยและดินแดนไทย ไม่ยอมให้ใครมารุกรานเด็ดขาด”

แม้ตั้งรับ แต่รบทุกครั้งไม่เคยเสียเปรียบ
ด้าน พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว โฆษกกองทัพภาคที่ 2 รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 แถลงข่าวสรุปสถานการณ์การปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาว่า ฝ่ายกัมพูชาพยายามออกข่าวทำลายชื่อเสียงของเราว่าฝ่ายไทยเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน แต่ข้อเท็จจริงแล้วตนขอเรียนชี้แจงตั้งแต่ปะทะกันตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา
เรามีหลักฐานชัดเจนว่า ฝ่ายเขมรโจมตีเราก่อน และบางครั้งบางวันเข้ามาล้ำเขตแดนในพื้นที่ของเรา ส่วนที่มีข่าวว่าฝ่ายกองทัพเรามีแต่การตั้งรับ ไม่มีปฏิบัติการในเชิงรุกนั้น ขอเรียนว่า ความรู้สึกของเราอาจจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเทียบกับเรื่องความสูญเสียจริงๆแล้ว ตนได้พูดคุยกับพวกเราที่เป็นสื่อ กับผู้ใหญ่หลายคนก็ไม่อยากที่จะเปรียบเทียบกันระหว่างความสูญเสีย ระหว่างฝ่ายเรากับฝ่ายเขา เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกซึ่งกันและกันก็พยายามหลีกเลี่ยงไว้ ซึ่งจริงๆแล้วในการปฏิบัตินั้นเราไม่ได้เสียเปรียบใดๆทั้งสิ้น คำว่าเราตั้งรับนั้น ถ้าเราจะพูดไปมากกว่านี้มันจะดูไม่ได้ สำหรับในการตั้งรับนั้นเรายังมีวิธีการอีกหลายอย่าง ซึ่งตนไม่สามารถชี้แจงได้เพราะเป็นวิธีแบบหนึ่งของการปฏิบัติการรบ แต่ขอยืนยันว่าที่ผ่านมานั้นเราไม่ได้เสียเปรียบฝ่ายกัมพูชาแน่นอน
ขณะเดียวกัน ทางกัมพูชา ก็ใช้วิธีการเดิม คือ พยายามเรียกร้องให้ประเทศที่สาม เข้ามาร่วมแก้ปัญหา
เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 27 เม.ย. มีรายงานว่า เกิดการปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาขึ้นอีกระลอกตลอดแนวตั้งแต่ปราสาทตาควาย บ้านไทยสันติสุข ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ถึงปราสาทตาเมือนธม บ้านหนองคันนา ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ โดยทหารกัมพูชาส่งกำลังรุกล้ำเขตแดนเข้ามาและทหารไทยที่ตรึงกำลังได้พยายามผลักดันจนการยิงปะทะกันด้วยอาวุธปืนประจำกายในระยะประชิดตัว
และฝ่ายกัมพูชายังใช้ปืนใหญ่ยิงสนับสนุนทำให้ฝ่ายไทยต้องใช้ปืนใหญ่ระดมยิงตอบโต้ การสู้รบดำเนินไปอย่างดุเดือดตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า ก่อนทหารกัมพูชาจะล่าถอยและตรึงกำลังตลอดแนวปะทะ เบื้องต้นมีรายงานว่าทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย คือ ร.ต.อภัย หมื่นอุทัย ผบ. ร้อยรบพิเศษ พล.ร.6 กองกำลังสุรนารี และบาดเจ็บ รวม 11 นาย ถูกลำเลียงส่ง รพ.สุรินทร์ และ รพ.ค่ายวีรวัฒน์โยธิน ส่วนฝ่ายกัมพูชายังไม่มีรายงานความสูญเสีย คาดว่าถูกยิงบาดเจ็บล้มตายเสียหายหนักเช่นกัน
โดนก่อนหน้าการปะทะ พ.อ.ปรีดา บุญราช รองโฆษกกองทัพภาคที่ 2 ได้ออกแถลงการณ์ว่า จากการปะทะที่ผ่านมาทหารกัมพูชาเกิดการอ่อนล้า เนื่องจากไม่มีการสับเปลี่ยนกำลังพลมา 3 วัน และยังนำลูกเมียมาพักอาศัยตามฐานทหารมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ปราสาทตาควาย คาดว่าต้องการใช้เด็กและสตรีเป็นโล่กำบัง โดยทหารไทยพยายามอดกลั้นไม่ตอบโต้ด้วยอาวุธหนัก มีเฉพาะการยิงปืนเล็กกลับไปตามความจำเป็นเท่านั้น และจะไม่มีการสั่งถอนทหาร ส่วนการปะทะที่ผ่านมา ทหารกัมพูชาพยายามขยายขอบเขตการสู้รบเข้าสู่แนวหลัง ใช้จรวดหลายลำกล้องแบบบีเอ็ม 21 ยิงใส่กว่า 100 นัด ยังผลให้บ้านเรือนประชาชน รวมทั้งเสาสัญญาณโทรศัพท์ เสาไฟฟ้า และระบบประปาหมู่บ้านเสียหายหนัก
28 เมษายน อีกด้านที่รัฐสภา เวลา 15.00 น. นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลง โดยสรุปว่า ให้ทหารทั้งสองฝ่ายยุติการปะทะ แต่ก็ยังสั่งการให้เฝ้าระวัง
อย่างไรก็ตาม หลังการพูดคุย เรื่องนี้ ก็มีการปะทะอีก ในเช้ามืดวันต่อมา ทำให้ อาสาทหารพรานของไทยเสียชีวิต 1 คน ส่วนทางเขมรไม่ทราบความเสียหาย
ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2554 พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์ขณะนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้น ได้พยายามประสานกับฝ่ายกัมพูชาทุกวัน และจะรอดูสถานการณ์อีก 1 วัน หากเห็นว่าปลอดภัยก็ให้ชาวบ้านบางส่วนออกจากศูนย์อพยพกลับไปบ้านได้
เมื่อถามว่าทหารทั้งสองฝ่ายยังมีการปะทะกัน พล.ท.ธวัชชัยตอบว่า อาจจะมีทหารที่ขาดวินัยของทั้งฝ่ายเขาและฝ่ายเราบางส่วน แต่ได้กำชับไปแล้ว ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ในช่วงกลางคืนมันมองไม่เห็นกัน หากมีเสียงอะไรที่ผิดปกติ ก็อาจจะมีการปะทะกันบ้าง
เผยยอดทหารพลีชีพ 7 นาย
พล.ท.ธวัชชัยกล่าวอีกว่า จากการปะทะกับฝ่ายกัมพูชา จนถึงขณะนี้ทหารไทยเสียชีวิตไปรวม 7 นาย การปะทะกันที่ผ่านมาฝ่ายเราไม่เคยเสียเปรียบ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ได้พยายามกำชับผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนขอให้มีความอดทนอดกลั้น ถ้ามีเหตุเกิดขึ้นก็ให้ตอบโต้กลับไปตามความเหมาะสม เพราะเราจะไปห้ามโดยที่ฝ่ายกัมพูชาเขายิงมาแล้วเราไม่ยิงตอบโต้ไปก็คงเป็นไปไม่ได้ คือพยายามให้เอาตามความเหมาะสม เขาใช้อาวุธขนาดเล็กเราก็ใช้อาวุธขนาดเล็กตอบโต้กลับไปเท่านั้น
ขณะที่ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ได้สั่งเตรียมกำลังเสริมจากกองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 3 มาทดแทนกำลังทหารกองทัพภาคที่ 2 ที่บาดเจ็บจากการสู้รบ สำหรับกำลังที่สั่งเตรียมพร้อมจากกองทัพภาคที่ 1 คือกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ หรือหน่วยรบเคลื่อนที่เร็ว ซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษที่มีศักยภาพสูง รวมถึงมีอาวุธที่ทันสมัย มีความคล่องตัวในการทำงาน และจากกองทัพภาคที่ 3 คือกองพลทหารราบที่ 4 จำนวน 1 กองพัน ได้เตรียมพร้อมในที่ตั้ง หากได้คำสั่งก็จะพร้อมเคลื่อนย้ายกำลังไปให้การสนับสนุนทันที
สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน วันเดียวกันว่า ทหารไทยกับกัมพูชายังคงยิงกระสุนปืนเข้าใส่กันบริเวณชายแดนพิพาทด้าน จ.สุรินทร์ อย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 นับตั้งแต่เหตุยิงปะทะกันตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 เม.ย. แหล่งข่าวทางทหารของไทยระบุว่า ล่าสุดทหารทั้ง 2 ฝ่าย ยิงปืนประจำกายเข้าใส่กันบริเวณปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธม ตลอดช่วงคืนวันเสาร์จนถึงก่อนรุ่งเช้าวันอาทิตย์ แต่ไม่มีรายงานความสูญเสียจากทั้ง 2ฝ่าย ทั้งนี้ เหตุปะทะกันตลอดช่วง 10 วัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ฝ่าย อย่างน้อย 16 ราย ชาวบ้านต้องอพยพหนีภัยเกือบ 1 แสนคน ถือเป็นการปะทะกันครั้งที่ 6 นับตั้งแต่ช่วงปี 2551
ขณะที่นักวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองหลายคนชี้ว่า สถานการณ์ทางการเมืองในทั้งไทยและกัมพูชา ยิ่งผลักให้ความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศถลำลึกลงอีก
นี่คือ รายงานทั้งหมด ในการสู้รบ และปะทะกัน ในช่วงปี 2554 แน่นอนว่า ความสูญเสียเกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะชีวิต เลือดเนื้อ และทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทหาร หรือ พลเรือนก็ตาม
You might be intertested in this news.
Mostview
รัฐบาลกัมพูชา ออกแถลงการณ์ไม่หารือ 4 พื้นที่ในการประชุม JBC เพราะจะยื่นฟ้อง ICJ
รัฐบาลกัมพูชา ออกแถลงการณ์ระบุ ได้ตัดสินใจที่จะส่งเรื่องข้อพิพาทเหนือ 4 พื้นที่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย กับพื้นที่มุมไบ ไปยื่นฟ้อง ICJ ไม่เอาไปถกในที่ประชุม JBC แต่ยังยืนยันจะหารือกรอบทวิภาคีนี้ และเป็นเจ้าภาพต่อไป
ทอ.กระชับสัมพันธ์ไทย-จีน เดินหน้าฝึก FALCON STRIKE 2025 ที่กองบิน 23 อุดรธานี
กองทัพอากาศไทย - จีน เดินหน้ากระชับความสัมพันธ์ เตรียมจัดฝึกผสม FALCON STRIKE 2025 เพื่อพัฒนายุทธวิธีการรบทางอากาศให้สอดคล้องกับภัยคุกคามในปัจจุบัน ในช่วง 28 ก.ค.-8 ส.ค.68 ที่ กองบิน 23 อุดรธานี
กองทัพบก สวน นายกฯ กัมพูชา อย่างเบี่ยงประเด็น ยื่นฟ้อง ICJ ไม่เกี่ยวกับช่องบก
โฆษกกองทัพบก ตอบโต้ "ฮุนมาเนต" อย่าเบี่ยงประเด็น กรณีดันเรื่องอ้างสิทธิพื้นที่ชายแดนฟ้อง ICJ คนละเรื่องเหตุปะทะช่องบก ตอนนี้ ทำอย่างไรที่จะอยู่ร่วมกันในพื้นที่ยังไม่ชี้ชัดว่าควรเป็นพื้นที่ของใคร และ ข้อตกลง ผบ.ทบ.ไทย-กัมพูชา คือจะใช้กลไกของ JBC แก้ปัญหา
กองทัพบก ยึดมั่นในกฎการปะทะ ยันทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนในกรณีที่ช่องบก
โฆษกกองทัพบก แถลงกรณีเหตุกำลังทั้ง 2 ฝ่ายปะทะกันที่ช่องบก ย้ำ ทบ.ไทยเคร่งครัดในกฎการปะทะ แต่ทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงชุดลาดตระเวนของไทยที่เข้าพื้นที่ไปพบก่อน โดยมีการแจ้งผ่านขั้นตอนแล้ว แต่พบระยะหลังกัมพูชาไม่ร่วมมือจริงจัง
กริพเพน E/F และ Meteor แต้มต่อของการครองอากาศ ทอ.ไทย มิติใหม่สู่ยุค FADO
กองทัพอากาศไทย จะได้รับ Meteor อาวุธปล่อยนอกระยะสายตา ที่มาพร้อมกับเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่ JAS-39 E/F Gripen สู่มิติใหม่ของการครองอากาศในยุค Joint All-Domain Operations ที่มีเครือข่ายข้อมูลเป็นศูนย์กลาง แต้มต่อที่จะทำให้เหนือกว่าชาติในอาเซียน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
