นายกฯ ประชุม คอภ.เคาะเงินเยียวยาช่วยน้ำท่วมฤดูฝนปี 68 ครัวเรือนละ 9 พันบาท
by Trust News, 7 ตุลาคม 2568
นายกฯ อนุทิน ประชุม คอภ. เร่งช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ในช่วงฤดูฝนปี 2568 แบบ ONE STOP SERVICE เหมือนปี 67 จ่ายอัตราเดียว ครัวเรือนละ 9,000 บาท พร้อมสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทันที
วานนี้ (6 ต.ค.2568) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัย การให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย รวมถึงพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยให้ครอบคลุมทุกด้าน โดยมีคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ได้แก่ นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี รองประธานกรรมการ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองประธานกรรมการ นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงและกรม พร้อมผู้บริหาร ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม

นายเชษฐา โมสิกรัตน์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมประชุมในฐานะฝ่ายเลขานุการ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีความห่วงใยต่อสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นที่ นำมาซึ่งความเสียหายจำนวนมากต่อทรัพย์สินและชีวิตประชาชน ซึ่งที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกระจายกำลังลงพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ เพื่อติดตามสถานการณ์ ให้ความช่วยเหลือ และให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งในช่วงสัปดาห์นี้ประเทศไทยยังคงได้รับผลกระทบจากพายุ "แมตโม" อีกทั้งในช่วงเดือน ต.ค.เป็นต้นไป จะเป็นช่วงฤดูมรสุมในพื้นที่ภาคใต้ อาจมีฝนตกหนักและฝนตกสะสมก่อให้เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากในหลายพื้นที่ จำเป็นต้องประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยเร็ว

อธิบดี ปภ. กล่าวต่อว่า สำหรับครั้งนี้เป็นการประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัย การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย การประเมินแนวโน้มสถานการณ์และการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการร่วมพิจารณาแนวทางให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยให้ดำเนินไปอย่างเป็นระบบ และบูรณาการทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้มีการแต่งตั้งคณะอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือ “คอภ.” ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่ออำนวยการและบริหารสถานการณ์พิบัติทางธรรมชาติที่ครอบคลุมทั้งในส่วนของการเตรียมพร้อม การติดตาม การเฝ้าระวังสถานการณ์ รวมถึงการป้องกัน การช่วยเหลือเยียวยา และการฟื้นฟูบูรณะ ภายหลังจากเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ และได้จัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือ “ศชภ.” ซึ่งมี นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ เพื่อเป็นหน่วยบัญชาการที่บูรณาการ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในการอำนวยการและปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service)

ต่อมา นายกรัฐมนตรี และที่ประชุม ได้พิจารณาแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย โดยกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ให้เป็นเช่นเดียวกันกับปี 2567 โดยให้ความช่วยเหลืออัตราเดียว ครัวเรือนละ 9,000 บาท แบ่งเป็น 2 กรณี คือที่อยู่อาศัยประจำอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย และที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันเกินกว่า 7 วัน พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการทันที เพื่อให้ความช่วยเหลือไปถึงมือประชาชนอย่างเร็วที่สุด และให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประสานจังหวัดสำรวจและจัดทำบัญชี ผู้ได้รับผลกระทบ และวางแผนฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภคโครงสร้างพื้นฐานที่ชำรุดเสียหายให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติโดยเร็วทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว เพื่อเป็นป้องกันและบรรเทาความเดือดร้อนข้องประชาชนเป็นไปอย่างมั่นคงยั่งยืน

นายอนุทิน กล่าวว่า เพื่อให้การอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ มีความคล่องตัว รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ จึงขอให้ “คอภ.” และ “ศชภ.” ดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยตามอำนาจหน้าที่ ระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวัง ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าเพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง และให้หน่วยงานในพื้นที่เตรียมความพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนตามแผนเผชิญเหตุได้อย่างทันท่วงที และให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย บูรณาการร่วมกับจังหวัดที่ประสบอุทกภัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งรัดการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้ครอบคลุมในทุกด้าน และจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยในห้วงฤดูฝน ปี 2568 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวอีกว่า ได้กำชับให้ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศชภ.) ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือในทุกพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติ และขอเน้นย้ำให้ คอก. และ คชภ. รวมถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามข้อสั่งการ โดยเฉพาะการสำรวจ-ติดตาม การช่วยเหลือเยียวยาประชาชนตามระเบียบหลักเกณฑ์ครัวเรือนละ 9,000 บาททันที เพื่อให้ความช่วยเหลือถึงมือประชาชนอย่างเร็วที่สุด

ขณะนี้ ประเทศไทยยังมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 17 จังหวัด 74 อำเภอ 487 ตำบล 2,724 หมู่บ้าน (จ.อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นครปฐม ชัยภูมิ อุบลราชธานี และ จ.ฉะเชิงเทรา) ประชาชนได้รับผลกระทบ 108,870 ครัวเรือน 367,372 คน ผู้เสียชีวิต 15 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2568) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของ คอภ. ได้รับนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และจะยังคงให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ที่ยังมีสถานการณ์ทั้งการช่วยเหลือด้าน การดำรงชีพ การสัญจร การอพยพผู้ประสบภัย การระบายน้ำ และการกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ การจัดตั้งศูนย์พักพิงและดูแลรักษาความปลอดภัย รวมถึงการสนับสนุนทรัพยากรเครื่องจักรกลสาธารณภัยให้กับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
ปัจจุบัน ปภ. ได้ส่งเครื่องจักรกลสาธารณภัย รวมกว่า 790 หน่วย ในพื้นที่ 25 จังหวัด อาทิ เครื่องสูบน้ำระยะไกล เรือท้องแบน รถขุดตักไฮดรอลิค สะพานถอดประกอบได้ (Bailey bridge) รถผลิตน้ำดื่ม รถประกอบอาหาร ฯลฯ พร้อมทั้งดำเนินการด้านงบประมาณ โดยประสานกรมบัญชีกลางเพื่อขออนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯ รวม 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพะเยา เชียงราย เชียงใหม่ แพร่ ลำปาง สุโขทัย น่าน แม่ฮ่องสอน และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และมีการใช้จ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยไปแล้ว รวม 204,747,596.01 บาท เป็นค่าใช้จ่ายด้านการดำรงชีพ ด้านการบรรเทาสาธารณภัย ด้านการเกษตร และด้านการปฏิบัติงาน เพื่อให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็ว เสมอภาค และทั่วถึงทุกพื้นที่.
You might be intertested in this news.
Mostview
เคล็ดลับความสำเร็จกัปตันซึบาสะ ความคิดของคนเลือกอยู่หัวแถว
เคล็ดลับความสำเร็จกัปตันซึบาสะ ความคิดของคนเลือกอยู่หัวแถว ตอนที่ 1
แนวโน้มราคาทองวันนี้(10ต.ค.68) ฟื้นตัวขึ้นระยะสั้น
แนวโน้มราคาทองวันนี้(10ต.ค.68) ฟื้นตัวขึ้นระยะสั้น
แนวโน้มราคาทองวันนี้(8ต.ค.68) ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น
แนวโน้มราคาทองวันนี้(8ต.ค.68) ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น
5 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (10ต.ค.2025)
5 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (10ต.ค.2025)
7 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (8ต.ค.2025)
7 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (8ต.ค.2025)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
