วันอังคาร, มิถุนายน 17, 2568

6 เหตุผลที่ทำให้ กมลา แฮร์ริส พ่ายแพ้

by Trust News, 7 พฤศจิกายน 2567

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้แทนจากพรรครีพับลิกัน กำลังจะกลายเป็นคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ต่อจาก อดีตประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ (Grover Cleveland) ที่สามารถก้าวเท้าเข้าสู่ประตูทำเนียบขาวในแบบ 2 วาระไม่ติดต่อกัน และกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47

หลังสามารถคว้าชัยชนะ (ยังไม่เป็นทางการ) เหนือ “นางกมลา แฮร์ริส” จากพรรคเดโมแครต ในแบบชนิดที่เรียกว่า “ง่ายดายเกินกว่าที่บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้”

โดยผลการนับคะแนนล่าสุดตามรายงานของสำนักข่าว CNN ณ เวลา 17.00 น. ตามเวลาประเทศไทย นั้น นายโดนัลด์ ทรัมป์ กวาดคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Votes) ได้มากถึง 295 เสียง ด้านคะแนน Poppular Votes ได้มากถึง 72,602,177 เสียง หรือ คิดเป็น 50.8%

ขณะที่ฝ่าย กมลา แฮร์ริส ได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งไป 226 เสียง และคะแนน Poppular Votes ที่ 67,893,572 เสียง หรือ คิดเป็น 47.5%

ทั้งๆที่ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ซึ่ง ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นฝ่ายเอาชนะ นายโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น ฝ่ายพรรคเดโมแครต สามารถกวาดคะแนน Electoral Votes ได้มากถึง 306 เสียง และได้คะแนน Poppular Votes
สูงถึง 81,284,666 เสียง

และไม่เพียงเท่านั้น พรรครีพับลิกัน ยังมีความเป็นไปได้สูงมากแล้วที่จะสามารถยึดได้ทั้งสภาผู้แทนราษฎร และ วุฒิสภา ได้อีกด้วย!

เพราะอะไร “กมลา แฮร์ริส” จึงพ่ายแพ้ให้กับ ชายชราอายุ 78 ปี?

และเพราะอะไรคะแนนเสียงจากผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตจึงหายไป?

วันนี้ “เรา” ลองไปสำรวจและวิเคราะห์ถึงความพ่ายแพ้แบบหมดรูปของพรรคเดโมแครต ต่อ “ชายที่ถูกตราหน้าจากพรรคเดโมแครตว่า เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย” ด้วยกัน

1. หลีกเลี่ยงแคมเปญ ผู้หญิงคนแรกที่จะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ :

นักวิเคราะห์การเมืองในสหรัฐ ตั้งข้อสังเกตถึงแคมเปญหาเสียงของ “กมลา แฮร์ริส” ว่าเพราะเหตุใดจึงไม่พยายามชูประเด็นเรื่อง “ผู้หญิงคนแรกที่จะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ” ขึ้นเป็นหนึ่งวาระหลักของการหาเสียงเลย

แต่กลับไปใช้วิธีพยายามกระตุ้นพลังหญิงให้มาลงคะแนนเสียง ด้วยประเด็นเรื่องสิทธิของผู้หญิงและคนผิวสีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เสรีภาพในการทำแท้ง หรือ การเพิ่มความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยแทน

ทั้งๆที่ ประเด็น “ผู้หญิงคนแรกที่จะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ” น่าจะเป็นตัวเร่งเร้าให้กลุ่มสตรีในสหรัฐฯ ออกมาลงคะแนนได้มากขึ้นก็ตาม

ซึ่งประเด็นนี้ นักวิเคราะห์มองว่า “ถือเป็นเรื่องที่เสียโอกาสเป็นอย่างยิ่ง” เพราะในช่วงเปิดตัวเป็นผู้แทนพรรคเดโมแครต แทน “คุณลุงโจ” นั้น เธอสามารถเรียกความคึกคักให้กลับคืนมาสู่พรรค จนสามารถระดมทุนหาเสียงได้มากมายถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือน แถมยังได้รับการสนับสนุนจากเหล่าเซเลปสาวระดับ Mega Star อย่าง บียอนเซ และ เทย์เลอร์ สวิฟต์ อย่างแข็งแรงอีกด้วย!

2. นโยบายทำแท้งเสรี :

ความพยายามขับเคลื่อนนโยบายสิทธิในการทำแท้งเสรี ของ กมลา แฮร์ริส แม้อาจช่วยขับภาพลักษณ์ในการเชื่อมโยงกับ “เหล่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ในสหรัฐ” ที่คัดค้านคำพิพากษา ยกเลิกคำตัดสินคดี Roe V Wade ของศาลสูงสุดสหรัฐ ที่เป็นผลให้ “การทำแท้ง” ถือเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ ได้ก็จริง

แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็ทำให้ กลุ่มพลังหญิงที่อยู่ฝ่ายอนุรักษ์นิยม และเป็นคริสเตียนอย่างเข้มข้น ต้องหยุดคิดเรื่องการลงคะแนนเสียงให้กับเธอด้วยเช่นกัน

และอาจจะเป็นเพราะทั้ง 2 ปัจจัยนี้ “กลุ่มพลังหญิง” โดยเฉพาะกลุ่มที่โกรธแค้นต่อการยกเลิกคำตัดสินทำแท้งเสรี ซึ่ง กมลา แฮร์ริส หมายมั่นปั้นมือว่าจะออกมาแสดงพลังใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างมืดฟ้ามัวดิน เพื่อลดแต้มต่อของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก เพศชายมากกว่า กลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง

โดยอ้างอิงจากรายงานของ CNBC ระบุว่า กลุ่มเพศหญิงที่ออกมาใช้สิทธิ
เลือกตั้งสนับสนุน กมลา แฮร์ริส อยู่ที่ 54% หรือลดลง -3% เมื่อเปรียบเทียบกับการออกมาสนับสนุน “คุณลุงโจ” ในการเลือกตั้งปี 2020 ซึ่งอยู่ที่ 57%

ในขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับได้รับการสนับสนุนจาก “กลุ่มพลังหญิง” เพิ่มขึ้นถึง 44% หรือ +2% เมื่อเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งครั้งก่อนที่ได้เพียง 42%

3. ปัญหาปากท้องจากเงินเฟ้อ :

ต้องยอมรับว่า “ปัญหาเศรษฐกิจ” ในช่วงการบริหารงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน สร้างบาดแผลที่ยากจะเยียวยาในใจของชาวอเมริกันมากพอสมควร

ด้วยเหตุนี้ การรับไม้ต่อของ “กมลา แฮร์ริส” จึงยากที่จะทำให้ชาวอเมริกันที่กำลังชอกช้ำจาก “เงินเฟ้อ” ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าครองชีพของผู้คนส่วนใหญ่ เกิดความเชื่อมั่นได้ว่า เธอจะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องปากท้องได้

ดังจะเห็นได้จาก Exit Poll ที่จัดทำโดย Edison Research ระบุว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่กังวลเรื่องปัญหาเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก โหวตสนับสนุน นายโดนัลด์ ทรัมป์ สูงถึง 79% ในขณะที่ฝ่าย กมลา แฮร์ริส ได้ไปเพียง 20%

ซึ่งสอดคล้องกับ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งถึง 31% ที่ยอมรับว่า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นประเด็นสำคัญมากที่สุดที่จะนำไปสู่การตัดสินใจว่าจะลงคะแนนให้กับผู้สมัครคนไหน

4. อิสราเอล :

นโยบายสนับสนุนพันธมิตรอันแนบแน่นอย่างอิสราเอล ในการปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซา รวมถึง เลบานอน และอิหร่าน ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทำให้ ชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับและชาวมุสลิมในอเมริกา

ซึ่งเคยสนับสนุนเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งก่อน เพื่อต่อต้าน
นโยบายกีดกันชาวมุสลิมเดินทางเข้าสหรัฐฯ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ต่างพากันปล่อยมือจาก กมลา แฮร์ริส อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในรัฐสมรภูมิที่เป็นตัวชี้ขาด อย่าง “รัฐมิชิแกน”

โดยอ้างอิงจากรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ ระบุว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเชื้อสายอาหรับและชาวมุสลิม จำนวนมากในรัฐมิชิแกน ซึ่งเคยสนับสนุนให้ โจ ไบเดน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งก่อน

ต่างแสดงความผิดหวังอย่างรุนแรงต่อนโยบายสนับสนุนอิสราเอลอย่างแน่วแน่ของ “คุณลุงโจ” ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง พร้อมกับย้ำว่า พวกเขาจะลงคะแนนเสียงให้กับพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งครั้งนี้

5. สูญเสียแรงสนับสนุนจากชนชั้นแรงงาน :

พรรคเดโมแครต คือ พรรคที่ได้รับการสนับสนุนจากบรรดาสหภาพแรงงานต่างๆในสหรัฐฯ อย่างแนบแน่นและยาวนาน หากแต่ปัญหาเศรษฐกิจ อันเกิดจากการแพร่ระบาดโควิด-19 และ ภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งกระทบต่อชนชั้นแรงงานโดยตรงและหนักหน่วงเกือบตลอดช่วงการบริหารประเทศของ โจ ไบเดน

ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกที่เป็นชนชั้นแรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มคนผิวขาวที่ไม่ได้ศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย หันไปให้การสนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ มากขึ้น

ดังจะเห็นได้จาก เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา กลุ่ม International Brotherhood of Teamsters ซึ่งเป็นสหภาพแรงงานขนส่งที่ทรงอิทธิพลที่สุดกลุ่มหนึ่งของสหรัฐฯ เนื่องจากมีสมาชิกมากกว่า 1.3 ล้านคน และมีความสนิทแนบแน่นกับพรรคเดโมแครตมายาวนาน ได้สร้างความอับอายต่อสาธารณให้กับ กมลา แฮร์ริส เป็นอย่างมาก ด้วยการ “ปฏิเสธ” ที่จะให้การรับรองผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1996!

ด้วยเหตุผลที่ว่า...ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่ได้พยายามมากพอสำหรับการปกป้องบรรดาสมาชิกสหภาพแรงงาน

6. พายุเฮอริเคนเฮเลน

พายุเฮอริเคนเฮเลน ที่พัดเข้าถล่มรัฐนอร์ทแคโรไลนา อีกหนึ่งสมรภูมิเลือกตั้งชี้ขาด เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งได้สร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้างและทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในรอบ 50 ปี ได้สร้างบาดแผลทางการเมืองให้กับ กมลา แฮร์ริส มากพอสมควร เพราะนอกจากจะถูกวิพากวิจารณ์ว่า ให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างล่าช้าแล้ว

ยังถูกฝ่าย นายโดนัลด์ ทรัมป์ โจมตีอย่างหนักด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า มีการแอบใช้เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ไปจัดหาที่พักให้กับผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย

ซึ่งข่าวลือนี้ได้แพร่สะพัดไปเป็นวงกว้างและยิ่งเป็นการทำให้ ข้อกังวลเรื่องปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายจำนวนมาก ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ “คุณลุงโจ” กลายเป็นประเด็นร้อนที่บั่นทอนคะแนนเสียงของเดโมแครตในรัฐสำคัญนี้ไปโดยปริยาย

บทส่งท้าย :

เปรียบเทียบผลคะแนนใน 7 สมรภูมิการเลือกตั้งที่เป็นจุดชี้ขาดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2 ครั้งล่าสุด

(1.) รัฐแอริโซนา : คณะผู้เลือกตั้ง 11 เสียง

เลือกตั้ง 2024 : รีพับลิกัน
โดนัลด์ ทรัมป์ : 1,303,793 คะแนน (52.3%)
กมลา แฮร์ริส : 1,167,898 คะแนน (46.8%)

เลือกตั้ง 2020 : เดโมแครต
โดนัลด์ ทรัมป์ : 1,661,686 คะแนน (49%)
โจ ไบเดน : 1,672,143 คะแนน (49.4%)

(2.) รัฐจอร์เจีย : คณะผู้เลือกตั้ง 16 เสียง

เลือกตั้ง 2024 : รีพับลิกัน
โดนัลด์ ทรัมป์ : 2,654,306 คะแนน (50.7%)
กมลา แฮร์ริส : 2,538,986 (48.5%)

เลือกตั้ง 2020 : เดโมแครต
โดนัลด์ ทรัมป์ : 2,461,854 คะแนน (49.2%)
โจ ไบเดน : 2,473,633 คะแนน (49.5%)

(3.) รัฐมิชิแกน : คณะผู้เลือกตั้ง 15 เสียง

เลือกตั้ง 2024 : รีพับลิกัน
โดนัลด์ ทรัมป์ : 2,799,713 คะแนน (49.8%)
กมลา แฮร์ริส : 2,715,684 (48.3%)

เลือกตั้ง 2020 : เดโมแครต
โดนัลด์ ทรัมป์ : 2,649,852 คะแนน (47.8%)
โจ ไบเดน : 2,804,040 คะแนน (50.6%)

(4.) รัฐเนวาดา : คณะผู้เลือกตั้ง 6 เสียง

เลือกตั้ง 2024 : รีพับลิกัน
โดนัลด์ ทรัมป์ : 698,169 คะแนน (50.9%)
กมลา แฮร์ริส : 647,274 คะแนน (47.2%)

เลือกตั้ง 2020 : เดโมแครต
โดนัลด์ ทรัมป์ : 669,890 คะแนน (47.7%)
โจ ไบเดน : 703,486 คะแนน (50.1%)

(5.) รัฐนอร์ทแคโรไลนา : 16 เสียง

เลือกตั้ง 2024 : รีพับลิกัน
โดนัลด์ ทรัมป์ : 2,876,141 คะแนน (51%)
กมลา แฮร์ริส : 2,685,451 (47.7%)

เลือกตั้ง 2020 : รีพับลิกัน
โดนัลด์ ทรัมป์ : 2,758,775 คะแนน (49.9%)
โจ ไบเดน : 2,684,292 คะแนน (48.6%)

(6.) รัฐเพนซิลวาเนีย : 19 เสียง

เลือกตั้ง 2024 : รีพับลิกัน
โดนัลด์ ทรัมป์ : 3,473,325 คะแนน (50.4%)
กมลา แฮร์ริส : 3,339,559 (48.5%)

เลือกตั้ง 2022 : เดโมแครต
โดนัลด์ ทรัมป์ : 3,459,923 คะแนน (48.8%)
โจ ไบเดน : 3,459,923 คะแนน (50%)

(7.) รัฐวิสคอนซิน : 10 เสียง

เลือกตั้ง 2024 : รีพับลิกัน
โดนัลด์ ทรัมป์ : 1,697,237 คะแนน (49.6%)
กมลา แฮร์ริส : 1,668,757 (48.8%)

เลือกตั้ง 2022 : เดโมแครต
โดนัลด์ ทรัมป์ : 1,610,184 คะแนน (48.8%)
โจ ไบเดน : 1,630,866 คะแนน (49.4%)


You might be intertested in this news.

Mostview

โบอิ้ง 787 แอร์อินเดียแจ้ง "MAYDAY" ก่อนเครื่องตกใส่เขตชุมชนพร้อม 242 ชีวิต

เครื่องบินโบอิ้ง 787 ดรีมไลเนอร์ส ของแอร์อินเดีย เที่ยวบิน AI 171 เส้นทางอาเมดาบัด-ลอนดอน แกตวิค ตกกระแทกพื้นกลางย่านชุมชน หลังเพิ่งออกจากสนามบินพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 242 คนบนเครื่อง ทั้งนี้ มีรายงานว่านักบินแจ้งฉุกเฉิน เมย์เดย์ ก่อนร่วงพื้น

พร้อมตั้งแต่เมื่อวาน ทอ.โชว์ติดระเบิดนำวิถี KGGB เขี้ยวเล็บ เอฟ-16 ฝูง 103 โคราช

กองทัพอากาศไทย เผย วิดีโอคลิปบนเฟซบุ๊ก โชว์การติดตั้งอาวุธให้กับเครื่องบินขับไล่ เอฟ-16 ฝูงบิน 103 นครราชสีมา ทั้งการโหลดกระสุนขนาด 20 มม.การติดตั้งมิสไซล์นำวิถีไซด์วายเดอร์ และ อาวุธใหม่ ระเบิดร่อนนำวิถีด้วย GPS แบบ KGGB ที่ซื้อจากเกาหลีใต้

เครื่องบิน 787 แอร์อินเดียตกทับหอพักแพทย์ พบร่างแล้ว 204 ศพ มีรอดชีวิต 1 ราย

ความคืบหน้าเหตุ โบอิ้ง 787-8 ดรีมไลเนอร์สของแอร์อินเดีย เที่ยวบิน AI 171 เส้นทางอาเมดาบัด-ลอนดอน แกตวิค พร้อมคนบนเครื่อง 242 ชีวิตตกที่เมืองอาเมดาบัด โดยซากเครื่องทับหอพัก นศ.แพทย์ ล่าสุด พบผู้โดยสารรอดชีวิต 1 รายเป็นชายวัย 38 ปี ขณะที่พบศพแล้ว 204 ศพ

ย้อนรอย จลาจลเผาสถานทูตไทย บทเรียนข่าวเท็จ กัมพูชา (2546)

ย้อนรอยเหตุเผาสถานทูตไทยในกัมพูชา จากน้ำผึ้งหยดเดียว ปล่อยข่าวคลั่งชาติ กล่าวหา “กบ สุวนันท์” หมิ่นกัมพูชา ลุกลามลามบานปลาย ก่อเหตุจลาจล คนไทยถูกล่า เอาชีวิต ผู้หญิงถูกล่า ลากจะขืนใจ สุดท้าย หาคนเบื้องหลังไม่ได้ ลงโทษผู้ก่อเหตุเบาหวิว แต่ต้องชดใช้มากกว่า

เมื่อวิกฤตหนี้สิน47,000ล้านเยน ถูกแก้ไขด้วยใจนักสู้ของเราทุกคน (ชมคลิป)

เมื่อวิกฤตหนี้สิน47,000ล้านเยน ถูกแก้ไขด้วยใจนักสู้ของเราทุกคน (ชมคลิป)

TrustNEws Line