เตือนระวัง3รอยเลื่อนใหญ่ ทำแผ่นดินไหวกระทบไทย
by Trust News, 2 เมษายน 2568
เตือนระวัง3รอยเลื่อนใหญ่ ทำแผ่นดินไหวกระทบไทย
นักวิชาการเร่งสังคายนาระบบเตือนภัยพิบัติ “ด้วยเซลล์บอร์ดแคสต์” ที่ต้องใช้ได้จริง พร้อมตรวจสอบการใช้งบประมาณ เผย 3 รอยเลื่อนใหญ่ ทำแผ่นดินไหวกระทบประเทศไทยโดยเฉพาะกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่อ่อนไหวขนาดยักษ์เพิ่มแรงเขย่า 3-4 เท่า และลุยตรวจสอบอาคารอ่อนไหวในภาคเหนือ พร้อมเสริมความแข็งแกร่ง
เมื่อวันที่ 2 เม.ย. สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้จัดกิจกรรมราชดำเนินเสวนาใน หัวข้อ “สังคายนาระบบเตือนภัย” เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวให้กับสื่อมวลชน และประชาชน อันจะนำไปสู่การนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ รวมถึงการมีส่วนร่วมในการสร้างความตระหนักรู้ และเตรียมความพร้อมให้ประชาชนในการรับมือกับแผ่นดินไหว
โดยมี ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหว สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และรศ.ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ร่วมเสวนาในครั้งนี้
ศ.ดร.เป็นหนึ่ง กล่าวว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวจำนวนมาก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศเมียนมา บางส่วนก็อยู่ในประเทศไทยแต่ค่อนข้างเล็ก และมีอัตราการเร่งตัวต่ำกว่าที่อยู่ในฝั่งเมียนมาที่แนวรอยต่อแผ่นเปลือกโลกระหว่างฝั่งอินเดีย และฝั่งไทย ตามแนวทะเลอันดามันไปถึงฝั่งตะวันตกของเมียนมา
แต่อย่างไรก็ตามจากการติดตามประเมินรอยเลื่อนที่จะผลกระทบต่อกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีอยู่ 3 แหล่ง คือ 1. รอยเลื่อนใน จ.กาญจนบุรีสามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.5 อันจะส่งผลกระทบถึงกรุงเทพฯ ได้ ก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วขนาด 5.9 อันส่งผลกระทบต่อกรุงเทพฯ แต่ตอนนั้นมีอาคารสูงไม่มาก 2. รอยเลื่อนสกาย ที่ผ่ากลางเมียนมาจากมัณฑะเลย์ เนปิดอว์ ย่างกุ้ง และ 3. รอยเลื่อนอาระกัน ซึ่งเป็นการมุดตัวของแผ่นเปลือกที่อยู่ฝั่งตะวันตกเมียนมา สามารถเกิดแผ่นดินไหวระดับเกิน8.5 โดยครั้งล่าสุดเกิดเมื่อประมาณ 260 ปีที่แล้ว
เมื่อดูจากสถิติแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จะเกิดห่างกันเฉลี่ยประมาณ 400-500 ปี ดังนั้นเมื่อเกิดมาแล้ว 260 ปีอาจจะมีการสะสมพลังงานแต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะระเบิดในเร็ววันนี้ หรืออาจจะเร็วขึ้นกว่า 400 ปี หรืออาจจะนาน กว่า700 ปีก็ได้ แต่เมื่อรอยเลื่อนนี้เกิดแผ่นดินไหวก็จะมีผลกระทบต่อกรุงเทพฯ เพราะด้วยสภาพดินมีลักษณะพิเศษแอ่งดินอ่อนขนาดยักษ์ที่สามารถขยายความรุนแรงของแผ่นดินไหวได้ 3-4 เท่าตัว อย่างเช่นแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2568 ก็เป็นคลื่นความถี่ต่ำ สั่นจังหวะช้าๆ ไม่ค่อยส่งผลต่ออาคารขนาดเล็ก เพราะจังหวะการโยกไม่ตรงกัน แต่อาคารสูงโยกตัวเข้าจังหวะกับพื้นดินในจังหวะช้าๆจังหวะตรงกันก็ขยายความรุนแรงส่งผลกระทบรุนแรงอาคารสูงมาก
ซึ่งผลการสำรวจตามหลังชี้ชัดว่าอาคารเล็กไม่มีผลกระทบเท่าไหร่ แต่อาคารสูงค่อนข้างได้รับผลกระทบถ้วนหน้า และมีอาคารถล่มร้ายแรงคือ อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) และมีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศติดต่อมายังตนพร้อมให้ข้อมูลน่าสนใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแผ่นดินไหวที่ไกลที่สุดในโลกที่ทำให้อาคารที่สูงที่สุดถล่มนับเป็นสถิติโลกครั้งใหม่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างที่ไม่ค่อยน่าภูมิใจนัก
อย่างไรก็ตามประเทศไทย ก็มีกฎหมายกำหนดให้อาคารสูงในกรุงเทพฯ และปริมณฑลต้องออกแบบให้สามารถต้านทานแผ่นดินไหวตั้งแต่ปี2550 โดยกรมโยธาธิการ และผังเมือง เป็นผู้กำหนดเส้นกราฟการสั่นไหวรุนแรงที่ต้องรับให้ได้ ซึ่งความจริงโอกาสจะเกิดแผ่นดินไหวแม้จะมีน้อยมากเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ต้องออกแบบเผื่อเอาไว้โดยแบ่ง กทม.เป็น 10 พื้นที่ที่สำคัญที่สุด คือ หมายเลข 5 ตั้งแต่บริเวณกรุงเทพฯ และฝั่งธนบุรี มีการตั้งสถานีวัดระดับความรุนแรงไว้ 5 จุด ซึ่งที่ได้ข้อมูลมาแล้ว 2 จุด คือ ที่สถาบันพระจอมเกล้าธนบุรี และศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
หากคำนวณแล้วพบว่าแรงสั่นสะเทือนที่กรุงเทพฯ อยู่ในระดับ 1 ใน 3 ของแรงสั่นสะเทือนที่กำหนดเป็นมาตรการฐานก่อสร้างอาคารสูง เพื่อรองรับเหตุแผ่นดินไหว เน้นที่โครงสร้างเสาต้องไม่พัง กำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กต้องไม่เสียหาย สลักต้องไม่แยกจากเสา ตัวพื้นต้องไม่แยกออกมา ส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้างก็ไม่ได้เน้น เช่น กำแพงกั้นห้อง ฝ้า เพดาน ระบบท่อน้ำท่อประปาที่มีโอกาสได้รับความเสียหายได้ อย่างไรก็ตามต้องไปตรวจสอบดูอีกครั้งว่า มีการออกแบบดีจริงหรือไม่ และมีอะไรผิดพลาดหรือไม่
ศ.ดร.เป็นหนึ่ง กล่าวอีกว่า เราควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับรอยเลื่อนที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศ ด้วยจัดสรรงบประมาณมากกว่านี้ และควรเข้าไปตรวจสอบ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับอาคารที่มีความอ่อนไหวเสี่ยงได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอาคารเรียนหลายแห่งในจ.เชียงราย เพราะตามข้อมูลการเสริมความแข็งแกร่งให้กับอาคารเดิมจะใช้งบประมาณ10-20% ของงบประมาณการก่อสร้างอาคารใหม่
ซึ่งที่ผ่านมาเรามีงานวิจัยทดลองติดตั้งอุปกรณ์วัดแรงสั่นสะเทือนบนอาคารสูง โดยติดตั้งที่อาคารโรงพยาบาลเชียงใหม่ และโรงพยาบาลเชียงราย เพื่อประเมินความปลอดภัยของอาคาร และแจ้งต่อผู้ใช้อาคารในเวลาสั้นๆ 5 นาที ว่าสภาพอาคารเป็นอย่างไร ตำแหน่งไหนอันตราย และยังขยายการทดลองไปยังที่โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ในส่วนที่กรุงเทพฯ ก็เตรียมทดลองติดตั้งที่โรงพยาบาลกลาง ทั้งนี้หากมีหน่วยงานใดต้องการที่จะติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวทีมวิจัยของเรายินดีให้คำปรึกษา
ด้าน รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า เหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมานั้นทันทีที่เกิดแผ่นดินไหวที่มัณฑะเลย์ ด้วยความเร็วคลื่นที่เร็วกว่าเสียง และน้อยกว่าแสงมีเวลา 7 นาทีก่อนมาถึงกรุงเทพฯ แต่ว่าระบบการเตือนภัยของประเทศไทยล่าช้า และไม่ครอบคลุม เนื่องจากส่งผ่านระบบ SMS ที่มีข้อจำกัดส่งได้เพียง 2 แสนเลขหมาย ทั้งๆที่หากเตือนได้เร็วจะช่วยลดความสูญเสียได้
ทั้งนี้ เมื่อดูไทม์ไลน์ทันทีที่เกิดแผ่นดินไหว 13:20 น. ตามเวลาประเทศไทย อาคาร สตง.พังถล่มในเวลา13.26 -13.27 หรือประมาณ 7 นาที กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งศูนย์เตือนภัยประกาศในเว็บเตือนภัยเวลา 13.36 น. ซึ่งเป็นเวลาตึก สตง.ถล่ม และคนเสียชีวิตแล้ว และเรามี SMS เฉพาะหน่วยส่งผู้ว่าราชการจังหวัด สนง.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และผู้บริหารทั้งหมดเวลา 14.30 น. และแจ้งให้กับประชาชนทั่วไปโดยส่ง SMS ให้กับกสทช.เมื่อดูเวลาค่อนข้างล่าช้ามาจากจุดเริ่มต้น 13.36 ดังนั้นการทำงานแบบอนุกรมต่อกันไม่เวิร์ค ทันทีที่เกิดเหตุควรมีระบบแจ้งต่อประชาชนทันที
ดังนั้น ต้องมีการปรับระบบซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ปรับปรุงทำเป็นระบบเซลล์บอร์ดแคสต์ ซึ่งจะส่งข้อความแจ้งเตือนผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงได้อย่างรวดเร็วภายใน 1 นาที หรือระดับวินาที โดยจะสามารถใช้ได้ในเดือน ก.ค. 2568 เหตุนี้จึงต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิดในการจัดทำระบบเซลล์บอร์ดแคสต์ให้ออกมาใช้ได้จริง เพราะมีองคาพยพที่ทำเรื่องนี้หลายหน่วยงาน แต่ปัจจุบันก็คุยกันถึงการลดขั้นตอนการขออนุญาตผู้บริหาร เช่นนั้นในระหว่างนี้หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินให้ใช้ระบบการแจ้งผ่าน SMS ทันที โดยไม่ต้องผ่าน กสทช. รวมถึงช่องทางการแจ้งเตือนผ่านสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และโซเชียลมีเดียไปก่อน
ขณะที่นายอิฐบูรณ์ กล่าวว่า ประเทศไทยเกิดภัยพิบัติมาหลายครั้ง และสภาผู้บริโภคฯ จึงส่งหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่ปี2565 เพื่อขอตรวจสอบข้อกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติ และเรียกร้องเกี่ยวกับระบบการเตือนภัย รวมถึงที่ผ่านมาประชาชนก็เรียกร้องให้มีระบบเซลล์บอร์ดแคสต์แล้ว เพราะเป็นเทคโนโลยีสามารถส่งสารผ่านเสาสัญญาณโทรคมนาคมให้กับผู้ที่อยู่บริเวณจุดเสี่ยงนั้นทั้งหมด
ซึ่งที่ผ่านมาสภาองค์กรผู้บริโภคเคยตามเรื่องนี้ และกระทุ้งไปที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่ปี2566 หลังเกิดเหตุการณ์เยาวชนก่อเหตุกราดยิงที่สยามพารากอน และก็ได้รับการตอบกลับวันที่ 28 มิ.ย. 2567 ว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมีการจัดทำโครงการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ และมีความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารระบบเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ซึ่งอยู่ภายใต้ของบอร์ดใหญ่ของกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2565
โดยได้รับงบประมาณเป็นรายจ่ายประจำปี 2567 ผูกพันปีงบประมาณ2568 แต่จากแถลงของนายกฯ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องพบว่ามีการใช้งบประมาณไม่ได้เป็นไปตามเอกสารตัวนี้ แต่มีการใช้งบกองทุนยูโซ่ของกสทช. ที่เรียกเก็บจากใบอนุญาตประมาณ 1,000 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ เรื่องนี้ต้องติดตามและสอบถามข้อเท็จจริงต่อไป และเรียกร้องทำระบบให้เร็วกว่านี้ และต้องทำระบบสั่งการที่มีความเป็นเอกภาพ เพื่อให้การสื่อสารมีความชัดเจนครอบคลุมคนมีปัญหาการได้ยินเสียง และผู้มีปัญหาสายตาด้วย
นอกจากนี้อย่าโยนภาระทั้งหมดมาที่ประชาชน โดยบอกว่าประชาชนต้องมีความรู้เท่าทันอย่างเดียว แน่นอนว่าตรงนี้ประชาชนก็ต้องทำความรู้เท่าทัน แต่รัฐก็ต้องมีการจัดทำชุดความรู้ในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องสำหรับประชาชนด้วยถึงจะมาบอกว่าประชาชนต้องมีความรู้ความเท่าทัน แต่ตั้งคำถามว่ามีชุดข้อมูลเหล่านี้ออกมาหรือไม่
“เรื่องภัยพิบัติต่างๆ อย่าเอาการเมืองมาวาง เพราะอะไรที่เป็นตำแหน่งหน้าที่ที่วางไว้ก็ให้เป็นอำนาจ และหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบ เช่น การเปิดข้อมูลแจ้งเตือนภัยผิดพลาดก็ต้องขอโทษตรงนี้ ซึ่งไม่มีใครไปโจมตี เนื่องจากแจ้งเตือนดีกว่าไม่แจ้ง แต่ในสังคมวันนี้สอนให้คนกลัวจนไม่กล้าทำหน้าที่ในระบบราชการที่เป็นอยู่ขณะนี้แล้วปล่อยให้เป็นภาระของประชาชนเอาตัวรอดด้วยตัวเองโดยวาทกรรมว่าประชาชนต้องมีความรู้เพิ่มขึ้น และต้องมีความรู้เท่าทัน คำถามง่ายๆแล้วเราจะมีรัฐบาลและกลไกเหล่านี้ไว้เพื่ออะไร”นายอิฐบูรณ์ กล่าว
ดร.คมสัน กล่าวว่า สำหรับการเกิดแผ่นดินไหวนอกจากการส่งสัญญาณ หรือส่งข้อมูลเพื่อให้ประชาชนระมัดระวังแล้วต้องมีระบบเรื่องของการจัดการที่ดี เพราะขบวนการหลังจากมีภัยต้องมีการดูแลจัดการความวิตกกังวลของคน ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของภาครัฐ เช่น การจัดให้มีการตรวจสอบ เพราะทุกคนรู้สึกกังวล เนื่องจากไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นที่เมียนมาห่างจากประเทศไทยเยอะมากแล้วผลกระทบก็น้อยแต่ผลกระทบทางด้านความรู้สึกของคนมหาศาล โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ มีการอพยพทุกอย่างช็อตไปหมด เช่น ขนส่งสาธารณะ
ถ้าหากเทียบกับญี่ปุ่นเขาจะมีการฝึกคนตั้งแต่เด็กๆในการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดแผ่นดินไหว เพราะประเทศญี่ปุ่นอยู่ในวงแหวนแห่งไฟเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง แต่เขารู้วิธีปฏิบัติตน และอยู่ได้ ส่วนประเทศไทยถ้ามีการเตือนภัยที่ดีแต่คนยังไม่รู้วิธีปฏิบัติก็จะทำให้ความตื่นตระหนกเกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นนอกจากตื่นตัวปรับปรุงระบบเตือนภัยแล้วจะต้องมีกระบวนการเรียนรู้และฝึกให้ทุกคนรับรู้และปฏิบัติตัวด้วย
แผ่นดินไหว , ตึกถล่ม , ประเทศไทย , สำนักข่าวทรัสต์นิวส์ , Trustnews
You might be intertested in this news.
Mostview
ถอดรหัส ข้าคือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จริงหรือ? ต้องได้เป็นตัวจริงเท่านั้น
ถอดรหัส ข้าคือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จริงหรือ? ต้องได้เป็นตัวจริงเท่านั้น
แนวโน้มราคาทองคำ วันนี้ (17ธ.ค.68) Sideway Up เก็งกำไรในกรอบ
แนวโน้มราคาทองคำ วันนี้ (17ธ.ค.68) Sideway Up เก็งกำไรในกรอบ
แนวโน้มราคาทองคำ วันนี้ (18ธ.ค.68) Sideway Up รอซื้อตามแนวรับ
แนวโน้มราคาทองคำ วันนี้ (18ธ.ค.68) Sideway Up รอซื้อตามแนวรับ
6 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (17ธ.ค.68)
6 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (17ธ.ค.68)
7 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (18ธ.ค.68)
7 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (18ธ.ค.68)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง