วันพุธ, กรกฎาคม 9, 2568

ย้อนดูตัวตน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่ทั้งรัก ทั้งชัง และคิดถึง..?

by Trust News, 9 กรกฎาคม 2568

 ย้อนดูตัวตน “ลุงตู่” จาก แม่ทัพ ผบ.ทบ. สู่นายกฯ โผงผาง เกรี้ยวกราด ตลก กับคำพูดก่อนอำลา นายกฯ…แล้วจะคิดถึงผม

เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน... ตอนอยู่ในตำแหน่ง ใครหลายคนไม่ชอบขี้หน้า ตื่นเช้ามาต้องไล่ให้พ้นๆ ทุกวัน แต่วันนี้ กลับมีกระแสเรียกร้อง และคิดถึงเขา...

ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในอำนาจยาวนานที่สุดคนหนึ่งของไทย คือ 8 ปี 11 เดือน กับอีก 29 วัน

โดยอยู่นาน เป็นรองมาจาก จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของสยามประเทศ ที่อยู่ในตำหน่งนายกฯ 8 สมัย คือ 15 ปี กับอีก 25 วัน และ จอมพลถนอม กิตติขจร นายกคนที่ 10 ที่อยู่ในตำแหน่ง 4 สมัย รวม 9 ปี กับ 205 วัน

ขณะที่อันดับสาม ก็คือ ลุงตู่ ของเราเนี่ยะแหละ

แน่นอนว่าทุกคนที่เติบโต ในยุคคสมัยนี้ รู้จัก “ลุงตู่” คนนี้ แน่นอน เพราะบางคนเริ่มคลาน เติบโต จนวิ่งได้ ขณะที่ บางคนเรียน มัธยม จนเข้าทำงาน “ลุง” แกก็อยู่ในตำแหน่งนายกฯ

ขณะที่ ผม เอง ก็เคย ทำงานในสายข่าว ประมาณ เกือบ 20 ปี แกเองก็เป็นนายกฯ 1 ใน 3 ของชีวิตการทำงานสายข่าวเหมือนกัน แม้ผมจะไม่ใช่นักข่าวภาคสนาม ก็ตาม

สำหรับใครที่ดูอยู่ตอนนี้ จะนิยาม “ลุงตู่” อย่างไร ก็อยากช่วยคอมเมนค์เข้ามาหน่อย

แต่สำหรับตัวแกเอง พล.อ.ประยุทธ์ เคยนิยามตัวเองไว้ดังนี้ ....

ผมเป็นนักการทหารที่จําเป็นต้องเข้ามาทําหน้าที่แทนนักการเมือง
แม้ผมจะไม่ได้มาจากประชาธิปไตย

ผมเป็นทหารมาทั้งชีวิต ผมเกิดมาเป็นทหาร ถึงตายไปก็เป็นทหาร
ถึงเป็นผีก็ยังเป็นผีทหาร ชาติหน้าเกิดใหม่ก็คงจะเป็นทหารอีก เพราะ
ไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่น

ผมเข้ามาด้วยชีวิต เสี่ยงทุกอย่าง เพราะไม่อาจ
ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปแบบก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 เพราะถ้าผมไม่เข้ามา ประเทศไทยเราจะกลายเป็น Failed State หรือ "รัฐล้มเหลว"

ผมคิดว่าผมอาจเป็นนายกฯ ทีเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้ก็ได้
เพราะผมเป็นคนใจร้อน ที่ต้องมาเร่งการแก้ปัญหา และการปฏิรูปต่างๆ

ผมอาจจะเป็นคนใจร้อน โมโหง่าย แต่จริงๆ แล้ว ผมก็เป็นคนจิตใจดี

ผมไม่ได้เก่งมาจากไหน ผมเป็นทหาร แต่เมื่อเข้ามาแล้ว ก็ต้องเข้ามาศึกษาเรียนรู้

ผมเป็นคนที่พูดเยอะ เพราะบ้านเมืองเรามีสิ่งที่ต้องพูดต้องอธิบาย แล้วผมก็อยากให้ประชาชนรู้ว่าผมคิดอะไร และจะทำอะไร ถ้าไม่ได้พูด ผมก็จะอกแตกตาย เพราะคิดอะไร มันอัดอั้นอยู่ในหัว จนกลัวว่าสมองจะแแตกตายด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้ว่าใครจะพูดอย่างผมได้บ้าง ซึ่งผมก็ว่า ผมไม่ได้ผมเก่ง แต่พูดนั้นมาจากใจ

ผมไม่ใช่นักการเมืองทึ่ต้องการอยู่ให้นานเพื่ออำนาจ เพราะผมไม่ต้องการอำนาจ ผมชินกับการใช้อำนาจมาเยอะแล้ว เป็นผู้บังคับบัญชาทหาร ไม่อย่างนั้นสั่งคนไม่ได้ สั่งคนไปรบ ไปตาย นั่นแหละคืออำนาจ ต้องใคร่ครวญให้ดี ก่อนที่จะสั่งและใช้อำนาจ

ผมไม่ต้องการให้ทุกคนเชื่อผม หรือ รักผม เข้ามาตรงนี้มีแต่ขาดทุน ทั้งเวลาในชีวิต ครอบครัว และความเสี่ยงต่างๆ มีคนรักชอบผม และมีคนเกลียดผมไม่น้อย แต่ก็ขอให้เชื่อมั่นและไว้วางใจผมในการทำงาน และแก้ปัญหาให้ประเทศ อีกไม่นาน ผมมีเวลาจำกัด ผมรู้ดี

คำพูดดังกล่าว เป็นเพียงบางส่วน ที่อาจจะมีการตัด ย่อบ้าง แต่โดยรวม พล.อ.ประยุทธ​์ ก็ขอให้เชื่อใจ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เหมือนเพลงที่แกแต่งให้ฟังเมื่อ 8-9 ปีก่อนนั่นแหละ

บุคลิกภาพที่เปลี่ยนไป...หลังเป็นนายกฯ

เราทุกคนรู้อยู่แล้วว่า การเข้าสู่เส้นทางการเมืองของ “บิ๊กตู่” มาจากวิธีอะไร…. ก็คือ การ “รัฐประหาร” เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ตอนนั้น สารพัดม็อบ เสื้อแดง กปปส. มีการลอบยิง ทำร้ายกันรายวัน จนมาถึงวัน ที่ต้องตัดสินใจ แม้ตอนนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะพอเลาๆ รู้อยู่บ้างแล้วว่าจะเกิดรัฐประหาร แต่แกก็ไม่รู้แน่ชัดว่าจะเกิดขึ้นวันไหน

สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ภาพการต่อสู้ของผู้คน เกิดการบาดเจ็บ ล้มตาย ทั้งประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ จนประชาชนเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายและไม่ไหว...

กระทั่งถึงวัน ดีเดย์ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยิงคำถาม จะลาออกหรือไม่ เมื่อได้คำตอบว่า “ใม่.”

“งั้นนาที ผมขอยึดอำนาจ”

หลังสิ้นเสียง ทุกอย่างจบลง รอบกรุงเทพฯ ที่เคยมี “บังเกอร์” รถถัง ทหารถืออาวุธ ทุกอย่าง ค่อยๆ หายไป กลับเข้าที่เข้าทาง ถึงแม้เวลาต่อมา ในสมัยที่แกเป็นนายกฯ ช่วงท้ายๆ จะเจอกับม็อบเยาวชนอยู่บ้าง

แต่ต้องยอมรับว่า ในช่วงแรกที่แกเข้ามา การต่อต้านของประชาชนนั้นมีไม่มาก คนส่วนใหญ่ ที่ไม่ยินดียินร้าย เพราะแสนจะเบื่อหน่ายกับม็อบ

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ก็เปลี่ยนบทบาท ตัวเอง จาก ผู้บัญชาการทหารบก สู่การเป็นนายกรัฐมนตรี

แน่นอนว่า ภาพความดุดัน ในฐานะ ผู้นำทหารที่คุมกำลังยังคงติดตาประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ จึงพยายามลดทอนความแข็งกร้าว ด้วยการใส่สูท เข้าทำเนียบ และพยายามหลีกเลี่ยงการแต่ชุดทหาร...

เมื่อเจอหน้า “นักข่าว” ในทำเนียบรัฐบาลวันแรก พล.อ.ประยุทธ์ ก็พยายามทักทาย เพื่อเข้าหาอย่างกันเอง

พี่เล็ก “วาสนา นาน่วม” ที่เคยเขียนหนังสือ “บิ๊กตู่” นายกฯ โหด มัน ฮา เขียนเล่าเบื้องหลัง การเจอหน้านักข่าววันแรกของ “บิ๊กตู่” ว่า วันแรกที่เข้าทำเนียบ ได้เข้าทักทายนักข่าวก่อน “สวัสดีจ้ะ...นักข่าวน่ารักทุกคน”

คำกล่าวทักทาย เพื่อสร้างสัมพันธไมตรี ลดทอนความดุดัน เพื่อให้นักข่าวเกิดความสบายใจในการทำข่าว แสดงให้รู้ว่า เขาไม่ใช่ยักษ์มารที่ไหน

บิ๊กตู่ พูดตอกย้ำเสมอในช่วงแรกว่า เขาไม่ใช่นักการเมือง ไม่ต้องการคะแนนนิยมจากประชาชน แต่การเป็นนายกรัฐมนตรี นั้น ย่อมต้องการศรัทธา จากประชาชน ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการบริหารประเทศ

ซึ่งเราๆ ที่เติบโตมา พร้อม กับ “พล.อ.ประยุทธ์” ได้เห็นพัฒนาการในการ สวมหมวกอำนาจ ที่เรียกว่า “นายกรัฐมนตรี” ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากการเป็นนายกฯ โหด โกรธ ดุดัน และบางโอกาสเราก็จะเห็น ลุงตู่ คนเดียวกันนี้ เป็นคนตลก น่ารัก มุกเยอะ สวมบทผู้ชายรักเมีย

แม้จะมีพลั่งเผลอ หลุดโมโหออกมาบ้าง จะทุ่มด้วยโพเดียม ภาพที่ออกมาดูแย่ ดูบ้าอำนาจบ้าง ก็ตาม

แต่ในช่วง เวลาอารมณ์ดี แกก็จะพูดเพราะ นะจ๊ะ จะ

ซึ่งคำว่า “นะจ๊ะ” นี่มาจากไหน…

พี่เล็กวาสนา เขียนในหนังสือ บอกว่า ที่มาของคำว่า “นะจ๊ะ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น มาจากตอนที่ลุงแกเป็น “ทหารเสือพระราชินี” ตอนเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งต้องตามเสด็จ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินาถ หรือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระพันปีหลวง

ตอนนั้น บิ๊กตู่ มีคำพูดติดปากว่า “นะจ๊ะ” พร้อมด้วยรอยยิ้ม จึงกลายเป็นที่มาของฉายา “บิ๊กตู่นะ จ๊ะ”

กระทั่งเข้าสู่ตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก คำว่า “นะจ๊ะ” จึงค่อยๆ เลือนรางหายไป กระทั่งกลับมาอีกครั้ง ในตอนที่เป็น นายกรัฐมนตรี และเชื่อมสัมพันธไมตรี กับนักข่าว และส่งถึงประชาชน

ทั้งที่ตอนเป็น ผบ.ทบ. ยาวนาน 4 ปี พล.อ.ประยุทธ์ เองไม่เคยร่วมโต๊ะกินข้าวกับนักข่าว ในช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น ปีใหม่ เหมือนกับ ผู้บัญชาการทหารบกคนอื่นๆ แสดงให้เห็นว่า ลุงตู่ ค่อนข้างระมัดระวังตัวอย่างมาก

นี่เอง ทำให้นักข่าวสายทหาร ไม่ค่อยได้เห็นตัวตนของ พล.อ.ประยุทธ์ แตกต่างกับนักข่าวสายทำเนียบ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มผ่อนคลาย ปล่อยมุขตลก ยิ้มแย้ม ออกมาบ้าง

แน่นอนว่า การยิ้มแย้ม หรือ หยอกนักข่าวในทำเนียบ มันก็ทำให้บรรยากาศในการทำข่าว ผ่อนคลายขึ้น ภาพที่ออกมา ประชาชน ก็จะได้เห็นอีกมุมหนึ่งของ “ลุงตู่”

แม้จะกลบความเป็นคนที่ “โกรธง่าย แต่หายเร็ว” ไม่ได้ก็ตาม

โดยมีหลายครั้ง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ หลุดคำไม่สุภาพ หรือต่อว่านักข่าวอย่างรุนแรง ถึงขึ้นกาหัวว่าจะไม่ให้สัมภาษณ์อีก แต่สุดท้ายวันต่อมาก็ให้สัมภาษณ์ หรือ ถ้าครั้งไหน พูดคำที่รุนแรงมากๆ แค่เพียงชั่วครู่ ก็นึกขึ้นได้ ก็ได้เอ่ยปากขอโทษ ที่พูดจารุนแรงเกินไป

สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ เราพอเดาได้ว่า แกพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง เพื่อการปรับตัวในเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่

ถึงขั้นที่แกพูดในสภา ก็มี “ผมรู้ว่า ทุกคนยั่วผม ต้องการเห็นผมเป็นแบบนี้”

ซึ่งเหตุการณ์ที่คนจดจำมากที่สุด คือ การโต้เถียงกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 ...

ปล่อยคลิป...

พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ชอบ “อ่านหนังสือ” มาก หลายครั้ง หลายหน ที่มีการนั่งเครื่องบินไกลๆ ท่านก็จะอ่านหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ และเมื่อลงจากเครื่องบิน บิ๊กตู่ ก็จะอารมณ์เสีย

สมัยเรียนเตรียมเตรียมทหารรุ่นที่ 12 มาด้วยกัน เล่าว่า แม้จะออกไปดื่มกิน เขาก็จะไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเมาจนขาดสติ

แถมกลับมา ยังต้องมาอ่านหนังสืออีก สาเหตุที่เป็นแบบนี้ เพราะ มีพ่อเป็นทหาร ที่เข้มงวดในระเบียบวินัย และแม่เป็นครู จึงโดนเข้มงวดตั้งแต่เด็ก แถมแกยังมีเมียเป็นครูซะด้วย 55

นอกจากหนังสือแล้ว แกยังอ่านคอมเมนต์ในโลกโซเชียลมีเดียด้วย แม้จะยิ่งอ่าน จะยิ่งหัวร้อนก็ตาม...

ประยุทธ์ สาย มู กับแหวน นิ้วนาง ข้างละ 2 วง

พล.อ.ประยุทธ์ เคยถูกทักว่า แต่ชาติปางก่อน เคยเป็นทหารเอก ของสมเด็จพระนเรศวร เรื่องนี้ “โหร คมช.” หรือ อาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ได้บอกกับ ลุงตู่ ส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่ ไม่มีคำตอบของคำถามนี้

แต่ก็มีสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ พูด จากประโยคข้างต้น คือ เกิดเป็นทหาร ตายไปก็ผีทหาร ชาติหน้าก็คงอยากจะเป็นทหารอีก...

โดยก่อนที่จะ ทำรัฐประหารนั้น โหร คมช. ได้ทำพิธีเสริมบารมีให้ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อน ข้ามปี แตกต่างจาก กรณี “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่ โหรวารินทร์ เป็นคนวางฤกษ์ให้ แม้ ตัว “บิ๊กบัง” จะนับถือศาสนาอิสลามก็ตาม

ส่วนสาเหตุเรื่อง “ความเชื่อ” สายมูจะมาจากไหน นั้น ไม่มีใครทราบ

แต่ครั้งหนึ่งมีเรื่องเล่าว่า พล.อ.ประยุทธ์ เคยผ่านการรบที่สมรภูมิ “เขาพนมปะ” ยิงปะทะแลกชีวิตกับทหารเวียดนาม ที่บุกผ่านประเทศเขมร มา หวังยึดดินแดนไทย

มีเรื่องเล่าว่า “พล.อ.ประยุทธ์” เกือบตาย ด้วยกระสุนปืนอาร์พีจี ที่ทหารเวียดนามซัดเข้ามา แต่…กระสุนหัวระเบิด ยิงมาแตกเป็นสะเก็ด สะเก็ดเฉี่ยวหัวไปอย่างหวุดหวิด ทำให้รอดมาเป็นนายกฯ ได้ทุกวันนี้

ขณะที่ ความเชื่อ เรื่องการใส่แหวน ในนิ้วของ พล.อ.ประยุทธ์ จะสวม 4 วง ที่นิ้วนางข้างซ้ายและขวา อย่างละ 2 วง

โดยแหวนที่ใส่ประจำ คือ “แหวนพระ” หรือ “แหวนนะโม” “แหวนสมเด็จฯ” ที่ได้รับพระราชทานการตามเสด็จในฐานะทหาเสือราชินี และ “แหวนนพเก้า” ที่ใส่มาตั้งแต่เป็น ผบ.ทบ.

ช่วงหนึ่งก็มีการใส่ “แหวนครุฑ” ว่ากันว่า ได้รับคำแนะนำจากพระวัดยานนาวา ให้เสริมอำนาจบารมี ส่วนวงอื่นๆ ใส่เพื่อแคล้วคลาด ป้องกันภยันตราย และป้องกันคุณไสยมนตร์ดำ

น่าจะป้องกันมนตร์เขมรได้นะ (ฮา...)

ส่วนกำไลข้อมือ ก็จะมีเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งกำไลหางช้าง กำไลเมล็ด น้ำตาพระศิวะจากอินเดีย หรือ หินสี


You might be intertested in this news.

Mostview

5 ก.ค.2025 ผวาแผ่นดินไหว สึนามิ ต้นตอการ์ตูนมังงะ ที่ไม่มีมูลทางวิทยาศาสตร์

เมื่อมังงะญี่ปุ่น ปลุกความตื่นกลัว “แผ่นดินไหว” 5 กรกฎาคม 2025 จะเกิดสึนามิใหญ่กว่า ปี 2011 กว่า 3เท่า ขณะที่ รัฐบาลญี่ปุ่นยัน ไม่มีมูลความจริงทางวิทยาศาสตร์ แผ่นดินไหว ถี่ ช่วงที่ผ่านมา คือ เรื่องดี คือ การปลดปล่อยพลังงานสะสม…

กลยุทธ์การลงทุน เมื่อไทยโดนภาษีทรัมป์36%

กลยุทธ์การลงทุน เมื่อไทยโดนภาษีทรัมป์36%

รำลึกถึงความมุ่งมั่น ดีโอโก้ โชต้า นายจะอยู่กับเดอะค็อปตลอดไป (ชมคลิป)

รำลึกถึงความมุ่งมั่น ดีโอโก้ โชต้า นายจะอยู่กับเดอะค็อปตลอดไป (ชมคลิป)

แนวโน้มราคาทองคําวันนี้ (7ก.ค.68) แกว่งออกข้าง

แนวโน้มราคาทองคําวันนี้ (7ก.ค.68) แกว่งออกข้าง

8 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (8ก.ค.2025)

8 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (8ก.ค.2025)

TrustNEws Line