ภาษีทรัมป์ความเสี่ยงเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2
by Trust News, 18 สิงหาคม 2568
ภาษีทรัมป์ความเสี่ยงเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2
สรุปผลกระทบของภาษีการค้าต่อเศรษฐกิจโลก :
สหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราภาษี "Reciprocal Tariff" โดยประเทศพัฒนาแล้วอย่างยุโรปและญี่ปุ่นถูกเก็บประมาณ 15% (แลกกับการลงทุนและเปิดตลาด) ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ถูกเก็บ 19-20% (แลกกับการควบคุม Transshipment และการซื้อสินค้าอเมริกัน) ส่วนจีน อินเดีย และบราซิลยังอยู่ในภาวะไม่แน่นอนโดยมีการต่ออายุเจรจา 90 วัน
อย่างไรก็ตาม การที่อัตราภาษีจริงลดลงมากจากที่ประกาศเดิม การเลื่อนระยะเวลากว่า 100 วันให้ภาคเอกชนปรับตัว และความชัดเจนว่าเป็นเครื่องมือต่อรองแบบครอบคลุม (ไม่ใช่แค่ดุลการค้า) ทำให้หลีกเลี่ยงการตอบโต้รุนแรงและสร้างเสถียรภาพการค้าโลกมากขึ้น
ด้านผลต่องบประมาณสหรัฐ Yale Budget Lap มองว่า การปรับขึ้นภาษีจาก 2% ในปี 2024 เป็น 18.6% ในปี 2025 จะสร้างรายได้เพิ่ม 1.4 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้และ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ใน 10 ปี แต่จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 1.2% ต่อปีในปี 2026 และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 1.8% ในระยะสั้น 1.5% ในระยะยาว ทั้งนี้ คาดว่าเงินเฟ้อจะสูงถึง 3.6% ปลายปี 2025 ทำให้ Fed ไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้
ผลกระทบภาษีการค้าต่อการลงทุน แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อ FDI ในจีนลดลงจาก 3.44 แสนล้านดอลลาร์ เป็น 8.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในยุคทรัมป์ 1.0 (2021-23) ขณะที่อเมริกาเหนือเพิ่มจาก 2 แสนล้านดอลลาร์เป็น 4.5 แสนล้านดอลลาร์ และอาเซียนเติบโต 4% ต่อปี
สะท้อนกระแส Re-shoring และ Friend-shoring ที่จะยิ่งทวีความรุนแรงในยุค Trump 2.0 โดยคาดว่าเอเชียและไทยจะได้รับการลงทุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการเปลี่ยนผ่านนี้
คาดการณ์เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 :
ตลาดการเงินและภาคธุรกิจจับตาการประกาศ GDP ไตรมาส 2 และแนวโน้มปี 2568 ของสศช.ในวันที่ 18 ส.ค. คาดว่าจะปรับคาดการณ์เพิ่มขึ้นจากกรอบเดิม 1.3-2.3% (ค่ากลาง 1.8%)
โดยอาจปรับกรอบล่างให้สูงขึ้นทำให้ค่ากลางแตะ 2% หลังจากการส่งออกครึ่งปีแรกโตแรง 15% มูลค่า 166,851.9 ล้านดอลลาร์ และอัตราภาษีสหรัฐที่ชัดเจนที่ 19% ซึ่งใกล้เคียงประเทศคู่แข่งในภูมิภาคทำให้แรงกดดันลดลง โดยหน่วยงานต่างๆ ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์แล้ว ธปท.เป็น 2.3% สศค.เป็น 2.2% และ IMF คงไว้ที่ 1.8%
เบื้องต้น คาดว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 น่าจะขยายตัว 3.2% ต่อเนื่องจากภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัว การลงทุนเพิ่มขึ้น และการบริโภคยังขยายตัว แต่เริ่มเห็นสัญญาณอ่อนแอในเดือนมิถุนายนจากการส่งออกที่ชะลอ ภาคเกษตรหดตัว การผลิตลดลง และการท่องเที่ยวหดตัว ทำให้คาดว่าไตรมาส 3-4 จะชะลอลงเหลือเฉลี่ย 0.4% และ GDP ทั้งปีขยายตัวประมาณ 1.8%
ยอดขายปลีกขยายตัวต่อเนื่องแต่ความเสี่ยงเริ่มมากขึ้น: ยอดขายปลีกสหรัฐฯ เติบโต 0.5% ในกรกฎาคมด้วยแรงหนุนจากการขายรถยนต์ที่พุ่ง 1.6% (จากการรีบซื้อรถไฟฟ้าก่อนสิทธิประโยชน์ภาษีหมดอายุ 30 ก.ย.) และการขายออนไลน์ที่เพิ่ม 0.8% จากแคมเปญ Amazon ที่ขยายเป็น 96 ชั่วโมง
แต่สัญญาณการชะลอตัวเริ่มปรากฏชัดเจน เมื่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงในสิงหาคม ดัชนีเงื่อนไขการซื้อสินค้าคงทนดิ่งสู่ระดับต่ำสุดรอบปี และการใช้จ่ายร้านอาหาร-บาร์หดตัว 0.4% ขณะที่ราคานำเข้าพุ่ง 0.4% (โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค) แสดงให้เห็นว่าผู้ส่งออกไม่ได้ลดราคาชดเชยภาษีนำเข้าตามที่รัฐบาลทรัมป์คาดการณ์
ประกอบกับความคาดหวังเงินเฟ้อ ที่พุ่งจาก 4.5% เป็น 4.9% และการผลิตในโรงงานที่หยุดนิ่ง ทำให้ Fed มีแนวโน้มไม่ลดดอกเบี้ยในกันยายน ท่ามกลางตลาดแรงงานที่อ่อนแอและภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงที่การบริโภคและการผลิตจะชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในครึ่งปีหลัง เมื่อผลกระทบเต็มรูปแบบของภาษีนำเข้าเริ่มส่งผ่านสู่ผู้บริโภค
อ้างอิง : บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) , กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์
You might be intertested in this news.
Mostview
ถอดรหัส ข้าคือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จริงหรือ? ต้องได้เป็นตัวจริงเท่านั้น
ถอดรหัส ข้าคือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จริงหรือ? ต้องได้เป็นตัวจริงเท่านั้น
แนวโน้มราคาทองคำ วันนี้ (18ธ.ค.68) Sideway Up รอซื้อตามแนวรับ
แนวโน้มราคาทองคำ วันนี้ (18ธ.ค.68) Sideway Up รอซื้อตามแนวรับ
แนวโน้มราคาทองคำ วันนี้ (17ธ.ค.68) Sideway Up เก็งกำไรในกรอบ
แนวโน้มราคาทองคำ วันนี้ (17ธ.ค.68) Sideway Up เก็งกำไรในกรอบ
6 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (17ธ.ค.68)
6 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (17ธ.ค.68)
7 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (18ธ.ค.68)
7 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (18ธ.ค.68)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง