วิเคราะห์ความเสี่ยงอุทกภัย ลงทุนแบบไหนลดความเสี่ยง
by Trust News, 12 กันยายน 2568
วิเคราะห์ความเสี่ยงอุทกภัย ลงทุนแบบไหนลดความเสี่ยง
ปี 2568 เศรษฐกิจไทย อาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยสูงกว่าปีก่อน และยังมีโอกาสใกล้เคียงปี 2560 หรือปี 2565 หากมีฝนตกสูงต่อเนื่องซึ่งยังคงต้องติดตาม แต่คาดจะไม่หนักเท่ามหาอุทกภัย ในปี 2554 หลังภาครัฐมีบทเรียนบริหารจัดการน้ำ
โดยหากไม่มีพายุพัดเข้าไทยมากกว่าที่คาด และมีปริมาณฝนลดลงจากนี้จนถึง ต.ค. 68 คาดโอกาสเกิดน้ำท่วมหนักใน กทม. ดังเช่นปี 2554 ยังเป็นไปได้น้อยมาก เว้นแต่จะมีน้ำท่วมขังในบางพื้นที่ที่ระบายไม่ทันช่วงสั้นเท่านั้น
ทั้งนี้กลยุทธ์ลงทุนสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำ “หาจังหวะซื้อเก็งกำไร” ในหุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากสถานการณ์อุทกภัยอย่าง TASCO, HMPRO, GLOBAL, BJC
เนื่องจากจากสถิติระหว่างปี 2558-2567 (ยกเว้นปี 2563 ที่เกิดวิกฤตโควิด-19) พบว่าราคาหุ้นจะปรับขึ้นได้ดีเมื่อซื้อลงทุนช่วงกลาง ก.ย. และไปขายต้น พ.ย. โดยคาดหวังได้ผลตอบแทนสูงสุดเฉลี่ยราว 2.6%
ล่าสุด (9 ก.ย. 68) ปริมาณน้ำในเขื่อนทั้งหมดของไทยอยู่ที่ 75% สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2560 (70%), ปี 2565 (64%) และปี 2567 (65%) อีกทั้งยังใกล้เคียงมหาอุทกภัยปี 2554 (78%) รวมทั้งปริมาณน้ำฝนสะสม 7M68 ยังสูงขึ้น 25%YoY (แม้จะยังต่ำกว่าปี 2554, ปี 2560 และปี 2565 ราว 10%)
เบื้องต้นมองว่าปี 2568 เศรษฐกิจไทย มีความเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหายจากสถานการณ์น้ำท่วมสูงกว่าปีก่อนและยังมีโอกาสใกล้เคียงปี 2560 หรือปี 2565 หากมีปริมาณฝนตกสูงต่อเนื่อง แต่คาดจะไม่หนักเท่ามหาอุทกภัยในปี 2554
เนื่องจากมองภาครัฐมีบทเรียนในการบริหารจัดการน้ำในอดีต อีกทั้งคาดจะมีพายุโซนร้อนเหลือพัดเข้าไทยอีกเพียง 1-2 ลูกในช่วง ก.ย.-ต.ค. 68 (น้อยกว่า ก.ย.-ต.ค. 54 ที่มีพายุโซนร้อนพัดเข้าไทยถึง 5 ลูก) ดังนั้นหากไม่มีพายุพัดเข้าไทยมากกว่าที่คาดไว้และมีปริมาณฝนทยอยลดลงจากนี้จนถึง ต.ค. 68
คาดโอกาสเกิดน้ำท่วมหนักใน กทม. ดังเช่นปี 2554 ยังเป็นไปได้น้อยมาก เว้นแต่จะมีน้ำท่วมขังในบางพื้นที่ที่มีฝนตกหนักทำให้ระบายไม่ทันเพียงช่วงสั้นเท่านั้น ส่วนภาคเหนือ ภาคกลางตอนเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือคาดจะเป็นภาคที่มีเสี่ยงสูงมากสุดที่จะเผชิญอุทกภัยจากปริมาณน้ำฝนที่สูง น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง และน้ำล้นตลิ่ง
ในส่วนของเศรษฐกิจ คาดว่า หากสถานการณ์อุทกภัยในภาคเหนือ ภาคกลางตอนเหนือ และภาคตะวันออก ยืดเยื้อยาวนาน 1 เดือน อาจกระทบต่อการผลิตภาคเกษตร อุตสาหกรรม และภาคบริการในพื้นที่ดังกล่าว และทำให้เศรษฐกิจเสียหายราว 7.3 พันลบ. (0.037% GDP) โดยภาคเกษตรอาจได้รับผลกระทบเป็นหลัก แต่กรณีเลวร้ายหากสถานการณ์ลากยาวและกระทบภาคส่วนอื่นๆ จะกระทบต่อเศรษฐกิจถึงราว 3.0 หมื่นลบ. (0.15% GDP)
ผลกระทบของอุทกภัยต่อเศรษฐกิจ (ณ ก.ย. 2568) :
ณ วันที่ 10 กันยายน 2568 สถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยยังคงอยู่ในภาวะเฝ้าระวัง อันเป็นผลจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 มีสถานการณ์อุทกภัยใน 19 จังหวัด ที่มีรายงานความเสียหายชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับรายงานพื้นที่ทางหลวงที่ถูกน้ำท่วมในนครราชสีมาและอยุธยา
ขณะที่กรมชลประทานได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพื่อรองรับมวลน้ำจากตอนบน ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำมีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม สถานการณ์นี้เป็นผลต่อเนื่องจากอิทธิพลของพายุและปรากฏการณ์ลานีญาที่ส่งผลให้มีฝนตกมากกว่าปกติ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมมาตรการรับมือและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจขยายตัวไปยังพื้นที่อื่น
แม้เบื้องต้น ประเมินความเสียหายรวม 7.3 พันล้านบาท หรือ 0.037% GDP ซึ่งน้อยกว่าปีที่แล้วที่ความเสียหายอยู่ที่ประมาณ 2.98 หมื่นล้านบาท และต่ำกว่าการประเมินของหอการค้าไทย ที่คาดความเสียหายกว่า 3 หมื่นล้านบาท
โดยสมมุติฐานหลัก คือ ภาคเกษตรรับผลกระทบหนักที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่ 8 จังหวัดที่ประสบอุทกภัย และคาดการณ์ว่าสถานการณ์จะส่งผลกระทบยาวนาน 1 เดือน
แต่อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่าสถานการณ์อาจยาวนานและรุนแรงกว่าคาด เนื่องจากดัชนี Sothern Oscillation Index (SOI) ยังคงบ่งชี้ความเสี่ยงปริมาณน้ำฝนที่จะอยู่สูงต่อเนื่องในอีก 3-6 เดือนข้างหน้าจากภาวะ La Nina นอกจากนั้น ยังมีความเสี่ยงว่าสถานการณ์อาจกระทบกับภาคส่วนเศรษฐกิจอื่น ๆ ซึ่งในกรณีเลวร้าย
หากปริมาณน้ำฝนยังมีสูงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับในปี 2567 เป็นไปได้ที่จะกระทบต่อพื้นที่เกษตร และภาคบริการเป็นวงกว้าง ซึ่งเรามองว่า ผลกระทบโดยรวมอาจจะประมาณ 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นภาคเกษตร 2 หมื่นล้านบาท และภาคบริการและท่องเที่ยว 1 หมื่นล้านบาท
โดยสรุป เบื้องต้น หากสถานการณ์อุทกภัยในภาคเหนือ ภาคกลางตอนเหนือ และภาคตะวันออก ยืดเยื้อยาวนาน 1 เดือน อาจกระทบต่อการผลิตภาคเกษตร อุตสาหกรรม และภาคบริการในพื้นที่ดังกล่าว และทำให้เศรษฐกิจเสียหายประมาณ 7.3 พันล้านบาท หรือ 0.037% GDP โดยภาคเกษตรอาจได้รับผลกระทบเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ในกรณีเลวร้ายหากสถานการณ์ลากยาว และกระทบภาคส่วนอื่น ๆ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจถึงประมาณ 3.0 หมื่นล้านบาทหรือ 0.15% GDP
อ้างอิง : บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) , กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์
You might be intertested in this news.
Mostview
รีวิวหนัง Curious Tales of a Temple เรื่องพิศวงตำนานลึกลับ
Curious Tales of a Temple แอนิเมชั่น ตำนานเรื่องเล่าปรัมปรา ของ จีน ที่หยิบมา 5 เรื่อง มาเล่าเป็นตอนๆ ให้ดูกัน โดยการผลัดกันเล่า ระหว่าง คางคก เต่า และ ชายหนุ่ม ที่เผลอตกลงไปใน บ่อน้ำโบราณ ....
แนวโน้มราคาทองคำวันนี้(29ต.ค.68) ฟื้นตัวในกรอบจำกัด
แนวโน้มราคาทองคำวันนี้(29ต.ค.68) ฟื้นตัวในกรอบจำกัด
แนวโน้มราคาทองคำวันนี้ (30ต.ค.68) ฟื้นตัวในกรอบจำกัด
แนวโน้มราคาทองคำวันนี้ (30ต.ค.68) ฟื้นตัวในกรอบจำกัด
8 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (29ต.ค.2068)
8 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (29ต.ค.2068)
8 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (30ต.ค.2568)
8 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (30ต.ค.2568)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง