วันพุธ, พฤศจิกายน 5, 2568

7 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (5พ.ย.2568)

by Trust News, 5 พฤศจิกายน 2568

7 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (5พ.ย.2568)

1. ตลาดหุ้นปรับฐาน Dollar แข็งค่าและ Bitcoin ร่วงแรง

ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง โดยดัชนี Nasdaq ร่วงนำตลาดกว่า 2% ขณะที่ S&P 500 ลดลง 1.17% และ MSCI World Index ลดลง 1.14% หุ้นกลุ่ม Semiconductor เช่น Nvidia และดัชนี SOX ร่วง 4% จากความกังวลเรื่องตลาดที่มีโอกาสปรับฐานหลัง CEO Goldman Sachs และ Morgan Stanley เตือนอาจเกิดได้มากกว่า 10% ใน 2 ปีข้างหน้า

ด้าน Bitcoin ร่วงกว่า 6% หลุดระดับ $100,000 เป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนมิถุนายน ส่วน Dollar แข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนเมื่อเทียบกับ Euro จากความคาดหวังว่าเฟดอาจไม่ลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีสหรัฐฯ ลดลงเล็กน้อย
 
2. Goldman Sachs และ Morgan Stanley ชี้ตลาดอาจปรับฐานใน 1-2 ปี แต่มองเป็น Healthy correction

CEO Goldman Sachs (David Solomon) และ CEO Morgan Stanley (Ted Pick) เตือนนักลงทุนเรื่องความเสี่ยงการปรับฐานหุ้น 10-20% ใน 1-2 ปีข้างหน้า โดยมองว่าเป็นเหตุการณ์ปกติ โดยไม่ได้เกิดจากปัจจัยมหภาคขนาดใหญ่หรือ "macro cliff" แต่เป็นการปรับฐานที่ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ปกติในวัฏจักรตลาดขาขึ้นระยะยาว พร้อมกับแนะนำให้นักลงทุนควรถือหุ้นและปรับพอร์ตมากกว่าพยายามจับจังหวะตลาด

ในขณะที่มีเสียงเตือนจาก Bank of England และ IMF ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หนี้ภาครัฐ และมูลค่าหุ้นที่สูงโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี 
 
3. Scott Bessent ชี้สหรัฐฯมีทางเลือกอีกหลายช่องทางในการใช้นโยบายภาษีนำเข้า

รัฐมนตรีคลังสหรัฐ Scott Bessent เปิดเผยว่าสหรัฐฯมีทางเลือกอีกหลายช่องทางในการใช้นโยบายภาษีนำเข้า หากศาลสูงสุดของสหรัฐตัดสินไม่ให้ใช้อำนาจบังคับภาษีตามกฎหมาย IEEPA ได้ โดยศาลสูงสุดจะพิจารณาคดีสำคัญนี้ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2025 ซึ่งจะตัดสินว่าสหรัฐฯ โดยเฉพาะฝ่ายบริหาร มีอำนาจตามกฎหมายในการใช้อำนาจนี้เพื่อกดดันคู่ค้าต่างประเทศมากน้อยเพียงใด

ถ้าศาลตัดสินว่าไม่สามารถใช้ IEEPA ได้ รัฐบาลยังสามารถหันไปใช้กฎหมายทางเลือก เช่น Section 232 ของ Trade Expansion Act 1962 ซึ่งให้สิทธิ์ในการใช้ภาษีนำเข้าด้านความมั่นคง และ Section 301 ของ Trade Act 1974 ที่ใช้กับประเด็นการค้าที่ไม่เป็นธรรม แต่จะมีข้อจำกัดมากกว่า IEEPA เจ้าหน้าที่ระดับสูงยังคงเชื่อว่าศาลจะหลีกเลี่ยงการแทรกแซงนโยบายเศรษฐกิจหลักของฝ่ายบริหาร
 
4. ทรัมป์ลงนามลดภาษีเฟนทานีลจากจีนลงเหลือ 10% ตามข้อตกลงกับจีน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารลดภาษีสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานีลจากจีนลงเหลือ 10% จากเดิม 20% ตามข้อตกลงทางการค้าล่าสุดระหว่างสหรัฐฯกับจีน ภาษีใหม่นี้จะมีผลจนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2026

ทั้งนี้ จีนตกลงระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากและจะนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯโดยเฉพาะถั่วเหลืองและไม้เพิ่มเติม ตามการเจรจานี้เกิดขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม 2025 ระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ

5. จีนเน้นย้ำสหรัฐฯ เคารพข้อตกลง เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

ทูตจีน Xie Feng เรียกร้องให้สหรัฐฯ เคารพข้อตกลงของจีนและสหรัฐฯ ("Red Line") ของประเทศหลังจากการเจรจาพักรบการค้าระหว่างนายสี จิ้นผิง และ นายโดนัลด์ ทรัมป์ที่ปูซาน ทูตจีนประจำสหรัฐฯ กล่าวในเวทีธุรกิจที่เซี่ยงไฮ้ว่า การประชุมดังกล่าวได้ปรับทิศทางความสัมพันธ์ในช่วงเวลาสำคัญ และลดความตึงเครียดที่สร้างความกังวลต่อภาคธุรกิจสองชาติ

พร้อมย้ำจุดยืนเรื่องไต้หวัน ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ระบบการเมือง และสิทธิในการพัฒนาของจีนว่าเป็น "Red Line" ที่ไม่ควรละเมิด และหากถูกละเมิดอาจนำไปสู่ปัญหา จีนเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศปฏิบัติตามความตกลงทางเศรษฐกิจและการค้าจากการเจรจาที่ปูซานและกัวลาลัมเปอร์ โดยให้ธุรกิจอเมริกันใช้โอกาสจากบรรยากาศที่ดีขึ้นหลังการประชุมในการลงทุนเพิ่มเติมในจีน โดยชี้ถึงโอกาสจากแผนพัฒนาห้าปีใหม่และการเปิดกว้างภาคบริการ
 
6. Lilly และ Novo ใกล้บรรลุข้อตกลงกับทำเนียบขาว ลดราคา Obesity drug แลกเข้า Medicare

Eli Lilly และ Novo Nordisk เตรียมประกาศดีลกับรัฐบาลทรัมป์ เพื่อลดราคา Obesity drug (ยาลดน้ำหนัก) แลกกับการได้รับสิทธิ์ Medicare coverage ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุและผู้พิการในสหรัฐฯ เข้าถึงยาได้มากขึ้น โดยรายงานระบุว่าราคาขั้นต่ำของยาอยู่ที่ $149 ต่อเดือน และจะมีการขายผ่าน TrumpRx ด้วย

ขณะที่ Lilly จะตั้งราคา Zepbound เริ่มต้นที่ $299 ต่ำกว่าราคาบนเว็บไซต์ DTC เดิม $50 การเจรจานี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย most-favored-nation pricing ที่รัฐบาลทรัมป์ผลักดันให้บริษัทยาลดราคาสหรัฐฯ ให้เท่ากับประเทศพัฒนาแล้ว และมีดีลคล้ายกันกับ Pfizer และ AstraZeneca ก่อนหน้านี้
 
7. การท่องเที่ยวไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้น มีมาตรการภาครัฐเป็นปัจจัยหนุน

นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย 644,179 คน เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มที่ไม่ใช่จีน สะท้อนว่าสัญญาณฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเริ่มชัดเจนและผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/68 โดยในปีนี้คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมจะอยู่ที่ 26,889,456 คน ลดลง 7.2% เมื่อเทียบปีก่อน ซึ่งช่วงเวลานี้เป็น High Season รวมถึงแนวโน้มการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกในเทศกาลลอยกระทง

ททท.คาดจะมีคนไทยเดินทางท่องเที่ยวในเทศกาลลอยกระทง 1.91 ล้านคน-ครั้ง สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 6,540 ล้านบาท โดยเฉพาะภาคเหนือคาดได้รับความนิยมสูงสุดและมีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 65% เป็นนักท่องเที่ยวไทยราว 41% พร้อมปัจจัยหนุนจากมาตรการรัฐ เช่น คนละครึ่งพลัส และเที่ยวดีมีคืน

ประเด็นที่ต้องติดตาม :

Eurozone Composite PMI เดือน ต.ค. คาดการณ์ที่ระดับ 52.2 จุด ก่อนหน้าที่ระดับ 51.2 จุด

อ้างอิง : บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) , กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์


You might be intertested in this news.

Mostview

เล่นเร็ว เน้นบอลยาวและฟรีคิก แท็กติกที่ทำให้แมนยูฯเริ่มดีขึ้น

เล่นเร็ว เน้นบอลยาวและฟรีคิก แท็กติกที่ทำให้แมนยูฯเริ่มดีขึ้น

แนวโน้มราคาทองคำวันนี้(29ต.ค.68) ฟื้นตัวในกรอบจำกัด

แนวโน้มราคาทองคำวันนี้(29ต.ค.68) ฟื้นตัวในกรอบจำกัด

แนวโน้มราคาทองคำวันนี้ (30ต.ค.68) ฟื้นตัวในกรอบจำกัด

แนวโน้มราคาทองคำวันนี้ (30ต.ค.68) ฟื้นตัวในกรอบจำกัด

แนวโน้มราคาทองวันนี้ (5พ.ย.68) ยังคงเป็น Sideway

แนวโน้มราคาทองวันนี้ (5พ.ย.68) ยังคงเป็น Sideway

8 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (29ต.ค.2068)

8 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (29ต.ค.2068)

TrustNEws Line