หยุดทำแบบนี้ได้ไหม? เสียงร้องขอเซเลปเกาหลี
by Trust News, 25 กุมภาพันธ์ 2568
แรงกระแทกจากเสียงวิพากวิจารณ์ของผู้คนในสังคม ที่นำไปสู่การตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรม ของเหล่าเซเลปในประเทศเกาหลีใต้ โดยเฉพาะกับกรณีล่าสุด คือ นักแสดงสาวอนาคตไกล “คิม แซรน” (Kim Sae ron) ทำให้ชาวเกาหลีใต้ ต้องกลับมา “ใคร่ครวญ” วัฒนธรรมการวิพากษ์วิจารณ์คนดังตามอำเภอใจ และพฤติกรรมการรายงานข่าวของสื่อมวลชนกัน รวมถึง การเผยแพร่ข้อมูลเท็จบนโลกออนไลน์ที่ยังคงไร้ซึ่งกฎหมายควบคุมอีกครั้ง
เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า “โศกนาฏกรรม” ที่ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้ มีต้นทางมาจาก การแสดงความเห็นของสาธารณชนที่มากเกินพอดี , จริยธรรมการรายข่าวของสื่อมวลชนที่ถูกตั้งคำถาม และการเผยแพร่ข้อมูลเท็จบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ไร้ซึ่งการตรวจสอบอย่างจริงจัง
เหตุใดเหตุการณ์ในลักษณะวนลูปเช่นนี้ จึงยังดำเนินต่อไปในสังคมเกาหลีใต้ และเพราะอะไรเหล่าเซเลปจึงมักไม่ได้รับการให้อภัย จนกระทั่งไร้โอกาสที่สอง สำหรับการกลับคืนสู่เส้นทางแห่งดวงดาวอีกครั้ง แม้จะกล่าวคำว่าขอโทษต่อสาธารณชน รวมถึงพยายามชดใช้ต่อความผิดที่ได้กระทำลงไปแล้วก็ตาม
วันนี้ “เรา” ลองไปสำรวจปัจจัยต่างๆที่ กางกั้นโอกาสที่สองของเหล่าคนดังเมื่อได้พลั้งพลาดไปกระทำความผิดในสังคมเกาหลีใต้กันดู

ชะตากรรมที่ “คิม แซรน” ต้องเผชิญในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก :
หลังก่อเหตุเมาแล้วขับ จนกระทั่งทำให้รถยนต์ไปชนเข้ากับหม้อแปลงไฟฟ้า และทำให้เกิดไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2022 ในวันรุ่งแม้ว่าเธอจะได้เขียนคำขอโทษด้วยลายมือและเสนอที่จะจ่ายเงินชดใช้ให้กับผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อแสดงความจริงใจ แต่ในท้ายที่สุดเธอถูกตัดสินว่ามีความผิด และต้องเสียค่าปรับเป็นเงินมากกว่า 20 ล้านวอน (469,358บาท) ในเดือนเมษายนปี 2023
โดยในระหว่างการพิจารณาคดี นอกจากนักแสดงสาวจะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสังคม รวมถึงความคิดเห็นในเชิงลบอย่างหนักหน่วงบนโลกโชเชียลมีเดียแล้ว เธอยังถูกบังคับให้ออกจากโปรเจคซีรีย์และภาพยนตร์ทั้งหมดด้วย นอกจากนี้ คิม แซรน ยังติดแบล็กลิสต์ห้ามปรากฏตัวบนเครือข่ายของสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่อย่าง KBS ทั้งหมด รวมถึงยังถูกต้นสังกัดอย่าง Goldmedalist ตัดสัมพันธ์หลังสัญญาสิ้นสุดลงในปี 2022 ด้วย
และไม่เพียงแต่จะต้องสูญเสียงานในวงการบันเทิง จำนวนเงินค่าปรับที่ต้องชดใช้ให้กับอดีตต้นสังกัดและแบรนด์ต่างๆจากเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้น รวมถึงเงินที่ถูกนำมาใช้ในการต่อสู้คดี ยังสร้างผลกระทบทางการเงินให้กับ คิม แซรน อย่างหนักหน่วงด้วย
โดยทนายความของคิม แซรน เคยออกมายอมรับว่า เธอไม่มีความสามารถที่จะจ่ายหนี้สินมูลค่ามากกว่า 700 ล้านวอน (16ล้านบาท) ให้กับอดีตต้นสังกัดและแบรนด์ต่างๆที่เคยให้การสนับสนุนได้
ด้วยเหตุนี้ คิม แซรน จึงพยายามหาทางสร้างชีวิตใหม่ให้กับตัวเอง โดยในเดือนพฤศจิกายนปี 2022 เธอโพสต์ภาพถ่ายของตัวเองในชุดพนักงานร้านกาแฟ ลงบนอินสตราแกรมที่มีผู้ติดตามมากกว่า 3.7 ล้าน Subscribe หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ บรรดาคอมเมนต์เยาะเย้ยและการใช้คำพูดเสียดสีต่างๆนานา

หากแต่ที่หนักข้อที่สุด คือ การปล่อยทฤษฏีสมคบคิดที่ปราศจากข้อเท็จจริงต่างๆนานา เพื่อพยายามหาทางเชื่อมโยงระหว่างคดีเมาแล้วขับ กับการหารายได้จากงานพาร์ทไทม์ในร้านกาแฟของเธอ จากอินฟูลเอนเซอร์ชื่อดังคนหนึ่งบนแพลตฟอร์มยูทูป
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเกิดกรณี “ภาพหลุดกับนักแสดงชายชื่อดังด้วยความไม่ตั้งใจ” ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะยิ่งเลวร้ายลงไปกว่าเก่า เมื่อบรรดาความเห็นต่างๆในโชเชียลมีเดียยังแสดงออกในทางลบต่อเธอไม่ยอมเลิกรา
จนกระทั่งครั้งหนึ่ง คิม แซรน เคยถึงกับโพสต์คลิปวิดีโอสั้นๆบนอินสตราแกรม ซึ่งเธอได้ร้องขอความเห็นใจที่ว่า “พวกคุณทุกคนช่วยหยุดทำแบบนี้ไม่ได้หรือ?”
และเมื่อความอดทนจากแรงกดดันต่างๆนานาที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ที่สุดแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ขาดผลึงลงในที่สุด
ทัศนคติบุคคลสาธารณะต้องทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้? :
โพสต์ข้อความต่างๆที่มีต่อ คิม แชรอน นั้น ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยการใช้ถ้อยคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงและเสียดสี มากกว่าที่จะแสดงความเห็นใจหรือให้กำลังใจ เช่นเดียวกับ เหล่าเซเลปในวงการบันเทิงเกาหลีใต้ เมื่อต้องกลายเป็นจำเลยในข่าวเสียหายต่างๆ ก่อนหน้านี้
ซึ่งประเด็นที่เกิดขึ้นกับ คิม แชรอน หรือ เหล่าคนดังนั้นแทบไม่ต่างอะไรกับเป็นการตั้งบรรทัดฐานและความคุ้นชินให้กับสังคมเกาหลีใต้ว่า...
“เหล่าเซเลปจะต้องทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์และความสนใจของประชาชนได้ เพราะคนเหล่านี้เป็นบุคคลสาธารณะ ทั้งๆที่ มุมมองเช่นนั้นพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันได้ไปกระตุ้นให้เกิดความคิดเห็นที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ออนไลน์ ที่ไม่จำเป็นต้องมีการเปิดเผยตัวตน และสามารถแสดงความคิดเห็นที่เป็นอันตรายได้อย่างง่ายดายก็ตาม”
ทำไมชาวเกาหลีใต้ จึงมักไม่ให้อภัยต่อความผิดพลาดของเหล่าคนดัง :
เป็นที่ทราบกันดีว่า “วัฒนธรรมคว่ำบาตร” (Cancel Culture) ในประเทศเกาหลีใต้ นั้น มีความแข็งกร้าวและรุนแรงมาก ด้วยเหตุนี้ เหล่าคนดังจึงตกอยู่ภายใต้ความกดดัน ในเรื่องการรักษาภาพลักษณ์แห่งความสมบูรณ์แบบอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งในด้านหนึ่ง แม้ว่า “วัฒนธรรมคว่ำบาตร” จะถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะสามารถทำให้เหล่าคนดังต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำผิดของตัวเองได้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ประเด็นที่ชาวเกาหลีใต้ มักถูกตั้งคำถามตามมาเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่ว่านี้ก็คือ…
“เหตุใดจึงมักเลือกที่จะไม่ให้อภัยหรือให้โอกาสที่สองแก่เหล่าคนดัง ที่ได้ยอมรับผิดและแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำไปแล้ว”
มีมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจ จาก “ฮอ ชัง ด็อก” (Huh Chang deog) ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยา จากมหาวิทยาลัยยองนัม (Yeungnam University) ซึ่งน่าจะพออธิบายเรื่องนี้่ได้นั่นก็คือ...
“สังคมเกาหลีใต้นั้นมักเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ จึงมักกระตุ้นให้เกิดความขุ่นเคืองกับผู้ที่ตัวเองรู้สึกว่าเหนือกว่า ซึ่งในกรณีของเหล่าคนดัง จากการที่ภายนอกมักถูกมองว่ามีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ทั้งในแง่ รูปลักษณ์ ไลฟ์สไตล์ และฐานะทางการเงิน ในแบบที่ชาวเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ปราถนา
จึงแทบไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ที่เหล่าเซเลปมักกลายเป็นศูนย์กลางของความริษยา อีกทั้งปัจจุบัน ปัญหาด้านเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ยังทำให้ชาวเกาหลีใต้จำนวนมาก มีแนวโน้มในเรื่องแรงปราถนาที่มากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อได้เปรียบตัวเองกับเหล่าคนดัง ซึ่งประเด็นนี้ อาจจะไปกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกริษยาและความเกลียดชังได้ง่ายขึ้นไปอีก”
อีกมุมมองหนึ่งจาก “ชเว ฮัง ซอบ” (Choi Hang-sub) ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยา จากมหาวิทยาลัยกุกมิน (Kookmin University) ให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่า...
“บุคคลสาธารณะ โดยเฉพาะเหล่าเซเลป มักถูกคาดหวังให้อยู่ในมาตราฐานที่สูงมากๆมาโดยตลอด ยิ่งในช่วงหลังๆจะเห็นได้ว่า แทบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วว่า เหล่าเซเลปมักถูกกดดันจนเกินขอบเขต เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ปราถนาที่จะรู้สึกถึงพลังและความสุข จากการได้มีส่วนร่วมในการประณามและทำลายผู้อื่น”
ส่วน “ซอล ดง ฮุน” (Seol Dong-hoon) นักวิชาการจาก มหาวิทยาลัยชอน บุก (Jeonbuk University) มองประเด็นนี้ว่า...
“ในสังคมที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและการแข่งขันที่สูงมากๆ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากลำดับชั้นทางการศึกษาและวิชาชีพอันแสนเข้มงวด ทำให้ความล้มเหลวส่วนบุคคลโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่าคนดัง ถูกมองว่า เป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ถึงแม้ว่าบางครั้งอาจเป็นเพียงข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆก็ตาม”
การรายงานข่าวที่ควรถูกตั้งคำถามเรื่องจริยธรรม :
หลังตกเป็นข่าวจากเรื่องอื้อฉาว สิ่งที่ คิม แชรอนหรือเหล่าคนดังคนอื่นๆก่อนหน้านี้ ต้องเผชิญ คือ การไล่ล่าติดตาม เพื่อรายงานข่าวคราวความเคลื่อนไหวต่างๆ จากสื่อมวลชนอย่างหยุดยั้ง
อย่างไรก็ดี ในหลายๆกรณี การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนหลักในเกาหลีใต้ ถูกตั้งคำถามเช่นกันว่า “เข้าข่ายกระตุ้นให้เกิดความโกรธเคืองในหมู่สาธารณชนหรือไม่?”
โดยเฉพาะการใช้คำพาดหัวเพื่อหวังเรียกร้องความสนใจต่างๆ เช่น...
“คิม แซรน นักแสดงเมาแล้วขับ”
“เผยสถานะปัจจุบันคิม แซรน กำลังยิ้มเพลิดเพลินอยู่กับการตกปลา”
“คิม แซรน กำลังดิ้นรนกับสถานะทางการเงินอันย่ำแย่”
แต่ทั้งหมดนั้น “เทียบไม่ได้เลย” กับ รายงานข่าวและการวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะกับ อิลฟูลเอนเซอร์บนช่องยูทูป ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก และกำลังก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดของชาวเกาหลีใต้ในเวลานี้
โดยเฉพาะกรณีของยูทูปเบอร์รายหนึ่ง ซึ่งเป็นอดีตนักข่าวที่โด่งดังจากการรายงานข่าวซุบซิบของเหล่าคนดัง และมีผู้ติดตามมากกว่า 600,000 Subscribe ซึ่งได้ทำคลิปวิดีโอที่พยายามสร้างทฤษฏีสมคบคิดต่างๆนานา รวมถึงใช้ถ้อยคำที่รุนแรงวิพากษ์วิจารณ์คิม แซรน ซ้ำไปซ้ำมาหลายคลิปติดต่อกัน ท่ามกลางคอมเมนต์ที่ดุเดือดยิ่งกว่า เข้ามากระหน่ำช่วยซ้ำเติม
แต่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อ “คิม แซรน” เสียชีวิต คือ คลิปวิดีโอเหล่านั้นก็ค่อยๆถูกลบทิ้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับเหล่าเซเลปคนอื่นๆก่อนหน้านี โดยไม่ใยดีต่อเสียงเรียกหา…. “จริยธรรมและความรับผิดชอบในฐานะสื่อมวลชน”
ขณะเดียวกัน การผลักดันร่างกฎหมายที่มีเนื้อหาสาระบังคับให้มีการเปิดเผยตัวตน รวมถึงมีขั้นตอนสำหรับการลบโพสต์ที่หมิ่นประมาทอย่างรวดเร็ว เพื่อหวังควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลเท็จและการแสดงความคิดเห็นที่อันตรายบนโลกออนไลน์ กลับไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาเกาหลีใต้มาแล้วถึง 2 ครั้งก่อนหน้านี้
มันจึงทำให้นักวิเคราะห์ในเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มรณกรรมของเหล่าคนดังจากประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น จะยังคงวนลูปแบบนี้ต่อไป เพียงแต่มันจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้าจากนี้ไปเท่านั้น...
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ จากบทความอันแสนยาวยืด “คุณ” มีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้าง?

You might be intertested in this news.
Mostview
ทหารเตือน ระวังอันตราย ขีปนาวุธ PHL-03 ระยะยิงกว่า 130 กม.จากแนวชายแดน
กองทัพภาคที่ 2 เตือนพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระวังอันตรายจาก PHL-03 ขีปนาวุธ พื้นสู่พื้นหลายท่อยิงของฝ่ายกัมพูชา ชี้พิสัยไกล 130 กม. อาจตกใส่เขตชุมชนแบบไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้ พยายามอยู่ห่างจากที่ตั้งหน่วยงานราชการไว้ก่อน
ทหารไทยยึด "ภูมะเขือ" ได้ นาวิกโยธิน เข้าขับไล่ทหารกัมพูชาพ้น "บ้านชำราก"
กองทัพไทย รายงานการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยกองทัพภาคที่ 2 แจ้งทหารไทยตรึงกำลังเข้ายึด "ภูมะเขือ" ไล่ทหารกัมพูชาลงเขา ขณะที่ กองทัพเรือ เปิดยุทธการ “ตราดพิฆาตไพรี 1” ส่ง นาวิกโยธินไล่ตะเพิดทหารกัมพูชาที่บุก "บ้านชำราก" พ้นแผ่นดินไทย
รีวิวหนัง “อ่านชะตาวันสิ้นโลก” CG อลังก์ หนังมันส์แบบ nonstop
ดูมาแล้ว สำหรับ หนังฟอร์มยักของเกาหลี “อ่านชะตาวันสิ้นโลก” หรือ Omniscient Reader: The Prophecy หนังที่ใช้ทุนสร้างมหาศาล โดยดัดแปลงเนื้อหามาจาก “มังฮวา” ชื่อดัง ที่มีการเขียนลงในเว็บโนเวล
8 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (1ส.ค.2025)
8 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (1ส.ค.2025)
กองทัพอากาศ แจงข่าวสวีเดนปฏิเสธขาย Gripen ให้ไทย เป็นเฟคนิวส์ฝั่งกัมพูชา
กองทัพอากาศ ยืนยัน ข่าวกรณี สื่อของกัมพูชารายงานอ้างว่า สวีเดนระงับการขายเครื่องบินขับไล่ Gripen เพิ่มเติม ให้กับไทยทั้งหมด “ข่าวบิดเบือนความจริง” โครงการดังกล่าว ยังคงอยู่ในระหว่างกระบวนการจัดซื้อ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
