รมว.กระทรวงพลังงานของสหรัฐ และ NNSA ประกาศว่า ลูกระเบิดนิวเคลียร์ B61-13 รุ่นล่าสุด ประกอบเสร็จสิ้นและออกจากโรงงานที่เท็กซัสแล้ว เร็วกว่ากำหนดเกือบ 1 ปี หลังประกาศการพัฒนาเมื่อปี 2023 โดยเป็นแผนการปรับปรุงอาวุธนิวเคลียร์เก่าให้มีประสิทธิภาพ

เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2568 ที่ผ่านมา นายคริส ไรต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ได้ประกาศที่โรงงาน Pantex ในวันนี้ว่า สำนักบริหารความปลอดภัยทางนิวเคลียร์แห่งชาติ (DOE/NNSA) ของกระทรวงพลังงานได้ผลิตระเบิด B61-13 ซึ่งเป็นการปรับปรุงล่าสุดของตระกูลอาวุธนิวเคลียร์ B61 เสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยระเบิดชุดแรกนี้ประกอบขึ้นเสร็จเกือบหนึ่งปีก่อนกำหนดเดิม และใช้เวลาไม่ถึงสองปีนับตั้งแต่มีการประกาศโครงการ ทำให้ B61-13 กลายเป็นหนึ่งในอาวุธที่ได้รับการพัฒนาและนำไปใช้ในภาคสนามเร็วที่สุดนับตั้งแต่ยุคสงครามเย็น

รมว.กระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ  กล่าวว่า การปรับปรุงคลังอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินนโยบาย 'สันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง' ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์" โดยความรวดเร็วในการผลิต B61-13 เป็นข้อพิสูจน์ถึงความอัจฉริยะของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรของสหรัฐฯ และความเร่งด่วนที่เราต้องเผชิญ ในการเสริมสร้างการป้องปรามในยุคใหม่ที่ผันผวน ทั้งนี้ ส่วนตัวรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ประทับตราอนุมัติหน่วยแรก ที่ผลิตเสร็จสมบูรณ์ที่โรงงาน Pantex ในเมือง อามาริลโล รัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นจุดที่ความพยายามทั้งหมดของห้องปฏิบัติการ โรงงาน และสถานที่ของ NNSA ได้บรรลุผลสำเร็จครั้งสำคัญนี้ "ความสำเร็จนี้ส่งสัญญาณถึงความแข็งแกร่งของอเมริกาไปยังทั้งศัตรูและพันธมิตรของเรา"

B61-13 อาวุธนิวเคลียร์ที่หลากหลายและสำคัญ

B61 เป็นอาวุธที่ใช้งานมายาวนานที่สุดและมีความหลากหลายมากที่สุดในคลังแสงนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ "ไตรอาวุธนิวเคลียร์ทางอากาศ" ของสหรัฐอเมริกา แม้ว่าตระกูล B61 จะสามารถส่งได้ด้วยเครื่องบินรบและเครื่องบินทิ้งระเบิดหลากหลายประเภท แต่ B61-13 จะได้รับการรับรองสำหรับการส่งโดยเครื่องบินทิ้งระเบิดเชิงยุทธศาสตร์เท่านั้น และจะประจำการจากฐานทัพในสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่ B61-13 เป็น 1 ใน 7 โครงการปรับปรุงหัวรบนิวเคลียร์ที่ NNSA กำลังดำเนินการอยู่ เพื่อรับรองความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพของคลังอาวุธนิวเคลียร์

กระบวนการผลิตที่เร่งด่วนและมีประสิทธิภาพ

การปรับปรุง B61-13 ใช้วิธีการผลิตที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เพราะเคยใช้กับ B61-12 ที่ผลิตหน่วยสุดท้ายเสร็จเมื่อ 5 เดือนก่อน โดย B61-13 มีคุณสมบัติด้านความปลอดภัย ความมั่นคง และความแม่นยำที่ทันสมัยเช่นเดียวกับ B61-12 แต่มีพลังทำลายล้างที่มุ่งเป้าไปที่การทำลายเป้าหมายทางทหารบางประเภทที่แข็งแกร่งและมีพื้นที่ขนาดใหญ่

NNSA ประสานงานกับกองทัพอากาศสหรัฐฯ ผลิต B61-13 หน่วยแรกเสร็จสิ้นตามกำหนดเวลาที่เร่งขึ้นอย่างมาก ข้อมูลการออกแบบและการรับรอง B61 ที่สะสมมานานหลายทศวรรษ ทำให้ผู้จัดการโครงการและวิศวกรของ NNSA จากห้องปฏิบัติการแห่งชาติและโรงงานผลิตมั่นใจว่า พวกเขาสามารถยอมรับความเสี่ยงที่คำนวณได้เพื่อเร่งการผลิต โดยการปรับปรุงให้คล่องตัว หรือในบางกรณีก็รวม "ประตูการออกแบบ" ซึ่งเป็นการตรวจสอบอย่างเข้มงวดในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการออกแบบอาวุธ วิศวกรจึงสามารถเริ่มการผลิตได้เร็วกว่าที่กำหนดไว้มาก ประสิทธิภาพเหล่านี้ทำให้สามารถผลิต "ชุดทดสอบ" ฮาร์ดแวร์ B61-13 ได้เพียงสามเดือนหลังจากโครงการได้รับการอนุมัติและจัดสรรงบประมาณจากรัฐสภา

ด้าน นายเดวิด โฮกลันด์ รักษาการรองผู้บริหารฝ่ายโครงการป้องกัน กล่าวว่า การเร่งการผลิต B61-13 ในขณะที่ยังคงรักษามาตรฐานความปลอดภัยและความมั่นคงสูงสุด โดยไม่รบกวนโครงการปรับปรุงอีกหกโครงการของเรา ถือเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่ง การรักษาสมดุลระหว่างความเสี่ยงของโครงการกับความเร่งด่วนของภารกิจการป้องปราม แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์และวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยมของผู้จัดการโครงการและวิศวกรของเรา ส่วนตัวมั่นใจว่าแนวปฏิบัติเหล่านี้จำนวนมาก สามารถนำไปใช้กับความพยายามในการปรับปรุงอาวุธในอนาคตได้ โดยมีนัยยะที่น่าจับตามองสำหรับระยะเวลาการส่งมอบ

B61-13 จะมอบทางเลือกนิวเคลียร์เพิ่มเติมแก่ประธานาธิบดีสำหรับการโจมตีเป้าหมายทางทหารที่แข็งแกร่งและมีพื้นที่ขนาดใหญ่บางประเภท โดยแยกกันนั้น กระทรวงกลาโหมจะประสานงานกับ NNSA เพื่อจัดทำและนำกลยุทธ์ที่ครอบคลุมสำหรับการทำลายเป้าหมายที่แข็งแกร่งและฝังลึกไปใช้ให้สำเร็จ

ประวัติของ ระเบิดนิวเคลียร์ B61-13

ระเบิดนิวเคลียร์ B61 เป็นระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ หนึ่งในอาวุธนิวเคลียร์ที่เก่าแก่ที่สุดและมีความหลากหลายมากที่สุดในคลังแสงของสหรัฐอเมริกา ที่มีการเริ่มต้นพัฒนามาตั้งแย่ทศวรรษที่ 60 os Alamos Scientific Laboratory โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างระเบิดที่สามารถติดตั้งใต้ปีกเครื่องบินขับไล่หรือเครื่องบินทิ้งระเบิดได้ มีอานุภาพสูง (มากกว่า 100 กิโลตัน) แต่มีขนาดเล็กและมีแรงต้านอากาศต่ำ

คุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งของระเบิดนิวเคลียร์ B61 คือ "Full Fuzing Option" (FUFO) หรือ "Dial-a-yield" ที่ทำให้สามารถปรับแรงระเบิดได้หลายระดับ และสามารถตั้งค่าการระเบิดได้ทั้งแบบระเบิดกลางอากาศ (airburst) หรือระเบิดบนพื้นดิน (groundburst) รวมถึงการทิ้งแบบอิสระ (Free Fall) การทิ้งแบบหน่วงด้วยร่มชูชีพ หรือการทิ้งแบบวางราบ (laydown delivery) เพื่อให้เครื่องบินมีเวลาหลบหนี เริ่มเข้าประจำการครั้งแรกในปี 1968

ระเบิดนิวเคลียร์ B61-13 ใช้พื้นฐานการออกแบบและคุณสมบัติความปลอดภัย ความมั่นคง และความแม่นยำเช่นเดียวกับ B61-12 (รวมถึงชุดหาง TKA) แต่มีแรงระเบิดที่สูงกว่า โดยมุ่งเป้าไปที่การทำลายเป้าหมายทางทหารที่แข็งแกร่งและมีพื้นที่ขนาดใหญ่บางประเภท คาดว่าแรงระเบิดสูงสุดจะใกล้เคียงกับ B61-7 (340-360 กิโลตัน) และจะนำมาทดแทน B61-7 บางส่วน และเพิ่มทางเลือกให้กับประธานาธิบดีในการโจมตีเป้าหมายที่แข็งแกร่งและขนาดใหญ่ โดยติดตั้งกับเครื่องบินทิ่งระเบิดทางยุทธศาสตร์แบบ บี-2 สปิริต และ บี-21 ไรเดอร์

คลังอาวุธนิวเคลร์ของสหรัฐฯ (U.S. nuclear stockpile) ในปัจจุบัน

NNSA รายงานว่า คลังอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐในปัจจุบันมีการครอบครองน้อยที่สุด นับตั้งแต่ช่วงสงครามเย็นปี 1960 จนถึงปี 2023 มีอยู่ทั้งหมด 3,748 หัวรบ อันเป็นผลมาจากสนธิสัญญาลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ หรือ ลดลง 88% จากจำนวนมากที่สุดที่เคยมี คือ 31,255 หัวรบช่วงปลายทศวรรษที่ 60 โดยหัวรบที่ยังคงอยู่ในคลังส่วนมากถูกผลิตมาทั้งแต่ทศวรรษที่ 70-80 ในช่วงเวลาที่อาวุธเหล่านี้ถูกสร้างขึ้น อาวุธเหล่านี้ไม่ได้รับการออกแบบหรือตั้งใจให้ใช้งานได้ยาวนาน.