จาก รร. สู่คุกนรก “ตวลสเลง” เรื่องสุดเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นกับมนุษย์ (คลิป)
by Trust News, 7 กันยายน 2568
เรื่องเล่า สุดหดหู่ในยุคเขมรแดง กับสถานที่สุดหดหู่ "ตวลสเลง" กับประวัติที่มา จากโรงเรียน สู่คุกนรก ก่อนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ สะท้อนสิ่งเลวร้ายที่เคยเกิดกับมนุษยชาติ
ตอนที่มีข่าวเรื่อง อดีตคุก “ตวลสเลง” หรือ พิพิธภัณฑ์ตวลสเลง ในปัจจุบัน ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก เมื่อช่วงกรกฎาคม 2025 ที่ผ่านมา ผมไม่ได้เห็นข่าว และไม่ได้สนใจกับเรื่องนี้
แต่หลังจากที่ไทย มีปัญหากับ “กัมพูชา” และมีการขุดค้นข้อมูลต่างๆ ผมเองก็ทำการค้นหาข้อมูลเหมือนกัน
และพอดีไปเจอหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ได้หยิบยืมมาจาก “หอสมุดเมืองกรุงเทพ” ชื่อเรื่อง “เพชฌาตแห่งตวลเสล็ง” ที่พูดถึง “สหายดุจ” อดีตผู้คุมคุกนรกแห่งนี้ และได้มีการฆ่า ที่เหมือนเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กว่า 20,000 ชีวิต ในคุกแห่งนี้ ก็เลยอยากเอามาเล่าให้ฟัง
ผมเองคงไม่เล่า รายละเอียดทั้งหมดของหนังสือ แต่อยากหยิบ “เกร็ด” จากในหนังสือ ที่ผู้เขียน คือ “นิค ดัลล็อป” ช่างภาพชาวไอร์แลนด์ ที่เขียนหนังสือเปิดโปง “สหายดุจ” จนได้รับรางวัลหนังสือพิมพ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัย จอห์น ฮอปกิ้น และ แปลไทย โดย กรกฎ พัลลภรักษา
นิค ได้เดินทางย้อนเส้นทาง “สหายดุจ” ผ่านภาพ ผู้คน สังคมเขมร และนี่คือ มุมมองของ “นิค” ที่ผมขอหยิบเศษเสี้ยวจากหนังสือเล่มนี้มาเล่าให้ฟัง

ลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
ช่วงศตวรรษที่ 9-15 ความรุ่งเรือง และการล่มสลายของจักรวรรดิเขมร ที่มีเมืองพระนครเป็นศูนย์กลาง
1864 กัมพูชาอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส
1953 สมเด็จพระนโรดมสีหนุ เจรจาต่อรอง ได้รับเอกราชและเป็นอิสระจากฝรั่งเศสสำเร็จ
1965 สีหนุ อนุญาตให้เวียดนามเหนือ เข้ามาตั้งฐานที่มั่นในกัมพูชาที่เป็นรอยต่อกับเวียดนามใต้ และต่อมาอนุญาตให้คอมมิวนิสต์ขนของผ่านดินแดนกัมพูชาได้อีกด้วย
1967 การลุกฮือที่ซ็อมลวด
1969 ปฏิบัติการทิ้งระเบิดจากสหรัฐเริ่มต้น
1970 วันที่ 18 มีนาคม ลอน น็อล ทำรัฐประหาร ขณะสีหนุอยู่ต่างประเทศ
วันที่ 23 มีนาคม 4 สีหนุซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ปักกิ่งเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้าน สงครามระหว่างเขมรแดงและฝ่ายรัฐบาล ลอน น็อล เริ่มขึ้นอย่างจริงจัง
เดือนเมษายน สหรัฐและกองกำลังเวียดนามใต้บุกกัมพูชาจากด้านเวียดนาม เพื่อทำลาย ที่มั่นของคอมมิวนิสต์ แต่ต่อมาก็ถอนกำลังออกไป
1973 การทิ้งระเบิดของสหรัฐกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายและถูกระงับโดยรัฐสภาอเมริกัน ซึ่งการทิ้่งระเบิดนี้ ทำให้คนเขมร กว่า 2 ล้านคนต้องอพยพหนี
1975 วันที่ 17 เมษายน สาธารณรัฐภายใต้การนำของ ล็อนน็อล ล่มสลาย และกัมพูชาตกอยู่ภายใต้การปกครองของเขมรแดง
1979 เวียดนามบุกกัมพูชา ขับไล่เขมรแดงและคุ้มอำนาจเกือบทุกพื้นที่ในประเทศ มีการจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา เป็น รักบริวารขึ้นในพนมเปญค่ายผู้อพยพและผู้ต่อต้านตั้งขึ้นที่ชายแดนไทย -กัมพูชา โดยได้รับการสนับสนุนจากประเทศจีน ไทยและประเทศตะวันตก เขมรแดงได้รับการติดอาวุธและความช่วยเหลือจากตะวันตก
1982 สีหนุประกาศจัดตั้งรัฐบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตยกับกลุ่มกษัตริย์นิยมสาธารณรัฐของ ล็อนน็อล ที่เหลืออยู่เล็กน้อยและเขมรแดงซึ่งเป็นกลุ่มที่คุมอำนาจหลัก
1984 ถึง 1985 เวียดนามเปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่เพื่อกำจัดการต่อต้านและผลักดันคนให้เข้าไปอยู่ในประเทศไทย สงครามยังดำเนินต่อไป
1989 เวียดนามถอนกำลังออกจากกัมพูชากลุ่มเขมรแดงเข้ายึดเมืองไพลินซึ่งเป็นที่ตั้งของเหมืองพลอย
1991 ข้อตกลงสันติภาพปารีส เปิดทางให้สหประชาชาติเข้ามาปฏิบัติภารกิจ
1992 ปฏิบัติการรักษาสันติภาพเริ่มต้น
1993 กลุ่มเขมรแดงถอนตัวออกจากกระบวนการที่ตกลงไว้และสาบานจะขัดขวางการเลือกตั้ง พระกษัตริย์นิยมได้รับชัยชนะถล่มทลายในการเลือกตั้งที่มีสหประชาชาติสนับสนุน ระบอบการปกครองพนมเปญภายใต้การนำของฮุนเซน บังคับให้มีการใช้อำนาจร่วมกันในรัฐบาลใหม่ องค์การบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในกัมพูชา หรือ (UNTAC) ถอนตัว สงครามกับกลุ่มเขมรแดงยังคงดำเนินต่อไป
1994 เขมรแดงกลายเป็นกลุ่มนอกกฎหมาย
1996 เอียง ซารี อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศแยกตัวออกจาก เขมรแดง เพื่อแลกกับการนิรโทษกรรม และดึงเขตเขมรแดงตะวันตกมาอยู่กับตน
1997 พล พต ถูกขบวนการของตนสอบสวนในที่มั่นกองโจรในอัลลองเวง นายกรัฐมนตรีร่วมฮุนเซน ขับไล่พรรคร่วมกษัตริย์นิยมในการรัฐประหาร และมีการปะทะกันระหว่างกลุ่มกษัตริย์นิยมและรัฐบาล
1998 พล พต เสียชีวิต อันลงเวงพ่ายให้แก่กองกำลังรัฐบาล
1999 ตาม็อค เขมรแดงคนสุดท้ายมอบตัว และถูกจำคุก เพื่อรอการพิจารณาคดี
หลังจากนั้นถึงปัจจุบัน ฮุนเซนและครอบครัว ได้ยึดครองกัมพูชาอย่างเบ็ดเสร็จ

ที่มา “เขมรแดง”
คำว่า “เขมรแดง” นั้นสมเด็จพระนโรดมสีหนุเป็นผู้บัญญัติขึ้นเพื่อเรียกคอมมิวนิสต์เขมรกลุ่มเล็กๆที่ไปเรียนในปารีส ผู้ที่เริ่มจัดตั้งกระบวนการต่อต้านรัฐบาลในช่วงทศวรรษที่ 1960
ซึ่งในช่วงนั้นสหรัฐอเมริกาเริ่มทำการทิ้งระเบิดแบบลับๆทางอากาศเพื่อทำลายฐานที่มั่นใกล้เวียดนามเหนือ และเส้นทางส่งกำลังบำรุงในกัมพูชา กว่าสหรัฐอเมริกาจะหยุดทิ้งระเบิดก็มีคนกัมพูชาเสียชีวิตและบาดเจ็บกว่าล้านคน
และอีกกว่าครึ่งของประชากรที่เหลืออยู่ ในสภาพผู้อพยพ ความหายนะที่เกิดขึ้นในชนบทนี้เป็นช่องทางให้เขมรแดงฉวยโอกาสยึดอำนาจจากฝ่ายรัฐบาล สหรัฐอเมริกาสนับสนุนในปีคริสตศักราช 1975
อีก 4 ปีต่อมาในปี 1979 โลกตื่นขึ้น มาเผชิญกับความหฤโหดโครงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งที่ 2 ภาพหัวกระโหลกและเด็กๆที่ ผายผอม จนเห็นกระดูกฉายออกหน้าจอโทรทัศน์ ให้คนทั่วโลกได้เห็นว่า คนเป็นล้านคนในกัมพูชา เจ็บปวดทรมาน ขนาดไหน

ที่มา “ตวลสเลง” จากโรงเรียน สู่คุกนรก และกลายเป็นพิพิธภัณฑ์
ตวลสเลง เคยไปโรงเรียนมัธยมตั้งอยู่กลางเมืองหลวงพนมเปญ หลังจากได้ชัยชนะแล้วเขมรแดงเปลี่ยนอาคารเรียนของที่นี่ให้เป็นกองบัญชาการลับรหัสเรียกว่า s-21
ตวลสเลง แห่งนี้ มี “สหายดุจ” เป็นผู้บัญชาการ และเพื่อตอบสนองความคลั่ง เรื่องการเก็บความลับของเขมรแดง นักโทษส่วนใหญ่ จึงถูกส่งมาที่นี่ และมักถูกส่งมาในตอนมืดค่ำ ซึ่งเวลานั้น เมืองหลวงกัมพูชา ก็เหมือนเมืองร้าง
ที่นี่นักโทษจะถูกทรมานให้สารภาพความผิดของตัวเอง ทุกคนจะถูกกล่าวหาในข้อหาเดียวกันคือเป็น “สายลับ” ไม่ว่าจะเป็น สายลับให้กับ KGB, เวียดนาม หรือแม้แต่ CIA
ในบางกรณีก็อาจถูกยัดข้อหาว่าทำงานเป็นสายลับให้กับทั้ง 3 หน่วยงานเลยก็ได้
หลังจากนั้น พวกเขาจะถูกส่งไปนอกเมืองและถูกสังหารจากคนที่เดินผ่านประตู คุกนรก “ตวลสเลง” นั้นมีมากกว่า 20,000 คน แต่คนเดินออกมา มีเพียง 7 คนเท่านั้น ที่ยังมีลมหายใจ
คุกแห่งนี้ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีภาพถ่ายนับพันภาพของผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อของสหายดุจ แสดงไว้ในห้องเดียวกัน ห้องที่พวกเขาถูกทรมานพวกเขมรแดงเหมือนพวกนาซี โดยมีการบันทึกและเก็บหลักฐานทุกอย่างและมีเอกสารกับฟิล์มเนกาทีฟ ภาพถ่ายนับพันชิ้น มี ชื่อ อายุ น้ำหนัก หรือ ส่วนสูง ของนักโทษทุกคน ถูกบันทึกไว้ครบ
ในช่วง 3 ปี 8 เดือนอีก 20 วัน พนมเปญภายใต้การปกครองของเขมรแดงกลายเป็นเมืองร้าง ผู้คนอพยพออกจากเมืองจนหมด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวความคิดของเขมรแดงที่ต้องการปรับโครงสร้างสังคมกัมพูชาอย่างสิ้นเชิง
ตวล ซวาย เปร็ย คือเขตในพนมเปญเป็นที่ตั้งของเรือนจำ แปลคร่าวๆว่าเนินเขาแห่งต้นผลไม้พิษ ตวล แปลว่าเนินเขา ส่วน สเล็ง นั้นขึ้นอยู่กับบริบทจะแปลว่า "แบกความผิด" หรือ "ศัตรูของโรค"
นอกจากนี้ สเล็ง ยังเป็นชื่อของต้นไม้ ที่ออกผลที่มีพิษร้ายแรงมาก สำหรับเขมรแดง คนที่ถูกขังที่คุกตวลสเลง เป็นที่รู้กันว่านักโทษที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานใกล้ๆ คนในเมือง จะรู้กันว่า เมื่อใครเข้าไปแล้ว ไม่ได้กลับออกมาอีก
ช่วงการครอบครองของเวียดนามได้เปลี่ยนคุกนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งเปิดขึ้นใน 1 ปี หลังจากการปลดปล่อยเมือง ตั้งอยู่ย่านที่อยู่อาศัยประกอบด้วยอาคารสูง 3 ชั้นจำนวน 4 หลังในบริเวณเดียวกัน ถัดไปมีลานประหารและหลุมศพจำนวนมากพื้นที่ทั้งหมดถูกกั้นด้วยรั้วไฟฟ้า และผนังเหล็กลูกฟูก ชั้นล่างของอาคาร a เป็นที่ใช้สอบสวน และเป็นที่กักขังนักโทษระดับสูง ชั้นล่างของอาคาร B และอาคาร C ถูกดัดแปลงให้เป็นที่กัดขังนักโทษรายสำคัญคนอื่นๆ
พื้นที่ถูกแบ่งออกเป็นห้องด้วยอิฐดิบและแผ่นซีเมนต์ กำแพงเดิมถูกเขมรแดงทุบให้เป็นช่องขนาดใหญ่ให้พอเดินได้เพื่อเชื่อมระหว่างห้องแต่ละห้อง ห้องขังบางห้องมีกุญแจมือจาน และกล่องกระสุนเก่าของสหรัฐ และใช้เป็นส้วม ราวกับกำลังรอนักโทษคนต่อไป
ด้านนอกมีหม้อใหญ่ เปล่าๆ 2 ใบตั้งอยู่ ใต้โครงเหล็กที่ดูเหมือนเป็นเครื่องออกกำลังกาย หม้อเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยมีน้ำ ที่มีนักโทษถูกบังคับให้เติม จากนั้นข้อมือของพวกเขาก็ถูกรัดติดไว้กับโครงเหล็กแล้วดึงขึ้นไปห้อยค้างอยู่ในอากาศ แขนแยกออกจากกัน เหมือนวิธีการทรมานที่เรียกว่า มัดเชือก ในสมัยกลางของยุโรป

ด้านนอกมีกระดานดำ ที่เขียน “กฎความปลอดภัย”
1. จงตอบคำถามทุกคำถามห้ามบ่ายเบี่ยง
2.อย่าซ่อนความจริงด้วยการอ้างเหตุผลใดๆ ห้ามต่อล้อต่อเถียง โดยไม่มีข้อแม้
3.อย่าหน้าโง่ ทำตัวเป็นผู้กล้าขัดขวางการปฏิวัติ
4.จงตอบคำถามอย่างรวดเร็ว อย่าให้เสียเวลา
5.อย่าตอบว่าความผิดที่กระทำไปเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือ ถามถึงความสำคัญของการปฏิวัติ
6.ในขณะถูกเฆี่ยนหรือถูกช็อตด้วยไฟฟ้าห้ามส่งเสียงร้องเป็นอันขาด
7.ห้ามเคลื่อนไหว ให้นั่งนิ่งๆรอฟังคำสั่งอย่างเดียวเท่านั้นถ้าไม่มีคำสั่งให้อยู่เงียบๆจนกว่าจะมีคำสั่งให้ทำ ต้องทำทันทีห้ามขัดขืน
8. ห้ามอ้างถึงกลุ่ม “เขมรล่าง” ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น
9. ถ้าไม่ปฏิบัติตามกฎทั้งหมดที่ระบุนี้จะต้องถูกเฆี่ยนด้วยลวดไฟฟ้า
10. ถ้าไม่เชื่อฟังและทำตามกฎข้อใดข้อหนึ่ง จะต้องถูกเฆี่ยน หรือถูกช็อตไฟฟ้า 5 ครั้ง
ข้าง ในมีภาพถ่ายของอดีตนักโทษจัดแสดงไว้โดย ภัณฑารักษ์ชาวเวียดนาม ภาพใบหน้านับพันหน้า แขวนไว้บนผนัง เหมือนกับว่าพวกเขาเพิ่งจะถูกส่งตัวมาที่คุกนี้ ทั้งชาย หญิง เด็ก ชาวมุสลิม ชาวคริสต์ชนเผ่า และคนต่างชาติอีกเล็กน้อย บางรูปดูเหมือนว่านักโทษบางคนพยายามปั้นหน้ายิ้ม เผื่อว่าเขมรแดงจะสงสารและไว้ชีวิต บางคนในภาพมีสีหน้าหวาดกลัว บางคนเหมือนโดนระเบิดเลือดอาบและหน้าปูดบวมแต่ละคนในภาพมีหมายเลขกำกับมีเด็กคนหนึ่งไม่สวมเสื้อผ้าแต่มีหมายเลขสลักอยู่ที่หน้าอกแทน
ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ นึกถึงคำกล่าวของสตาลิน ที่ว่า “หนึ่งชีวิตที่ถูกฆ่าก็มากพอที่จะเป็นโศกนาฏกรรมแล้ว แต่ถ้าเป็นล้าน เป็นเพียงแค่สถิติ” ภาพถ่ายที่เหลืออยู่เหล่านี้เป็นร่องรอยสุดท้ายที่ว่าคนเหล่านี้เคยมีชีวิตอยู่บนโลก ก่อนจะถูกขยี้เป็นธุลี
ฆ่าคนบริสุทธิ์ 10 คนดีกว่าปล่อยศัตรูคนเดียวให้รอด คติพจน์ของเขมรแดง
ความพยายามจะขจัดอดีต และก่อตั้งกัมพูชาใหม่ ทำให้เกิดกองกำลังเขมรแดงขึ้นมา ในบางครั้งพวกเขาก็เอ่ยอ้างถึงอดีตว่าเป็นความทรงจำที่ป่วยไข้ ที่ยากจะรักษา
มันไม่ง่ายเลยเหมือนที่ นักเขียนคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ประชาชนถูกฆ่าเพียงเพราะพวกเขาเลือกจดจำโลกที่แตกต่างจากที่เขมรแดงต้องการสร้างให้เป็น เป็นความหมกมุ่นที่ต้องการจะถอนรากถอนโคนศัตรูและชำระชาติให้บริสุทธิ์ด้วยวิธีการเดียวเท่านั้น คือ ความตาย
อ่านเรื่องที่น่าสนใจ
5 ปมสั่งตาย “แคล้ว ธนิกุล” เจ้าพ่อนครบาลกับพระสมเด็จวัดระฆัง ที่หายไป?
น้ำตาพระ สละผ้าเหลือง สึกเจ้าคุณอุดม ตำนานคดีเครื่องราชฯ (คลิป)
จากเด็กสลัมสู่เจ้าพ่อนครบาล เรื่องเล่า เส้นทางนักเลง เฮียเหลา แคล้ว ธนิกุล (คลิป)
You might be intertested in this news.
Mostview
รักเวียดนามชิงชังไทย เหตุใดเขมรจึงลำเอียง (ชมคลิป)
รักเวียดนามชิงชังไทย เหตุใดเขมรจึงลำเอียง (ชมคลิป)
ตำนานโคตรโกง7,000ล้านเยน กลลวงยักษ์ใหญ่ซื้อที่ดินสุดเนียน (ชมคลิป)
ตำนานโคตรโกง7,000ล้านเยน กลลวงยักษ์ใหญ่ซื้อที่ดินสุดเนียน (ชมคลิป)
รีวิว “คำสาปเสื้อกันฝน” หนังผีไต้หวันที่หลอนไม่แรง
หนังผี “คำสาปเสื้อกันฝน” หนังไต้หวัน ที่บอกเล่าตำนานเล่าขานมาเกือบครึ่งศตวรรษจากป่าทึบบนภูเขาสูงแห่งไต้หวันว่า หากคุณหลงทางในป่า ชายปริศนาสวมเสื้อกันฝนสีเหลืองจะปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยนำทาง แต่เมื่อใดที่เลือกเดินตามไป...
รีวิว Bambi The Reckoning เมื่อกวางคลั่งแค้นคล้ายซอมบี้
Bambi The Reckoning เปิดเรื่องด้วยการเล่าด้วยภาพการ์ตูนเกี่ยวกับกวาง ซึ่งเสียงผู้หญิงที่เล่าเสียงน่าฟังมาก และคิดตามว่าที่กวางดุร้ายไล่ฆ่าคนเพราะถูกมนุษย์รังแกก่อนซึ่งก็ส่วนหนึ่ง ...
รีวิว “The Conjuring: Last Rites” กับสูตรสำเร็จที่ลงตัว
ในที่สุดจักรวาลสยองขวัญที่แฟน ๆ เฝ้าติดตามมายาวนานก็มาถึงบทสรุป The Conjuring: Last Rites เป็นภาคที่ยังคงเอกลักษณ์ของซีรีส์เอาไว้อย่างครบถ้วน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
