7 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (11ธ.ค.68)

1. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นหลังเฟดลดดอกเบี้ย

ดัชนีหุ้นหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกหลังเฟดประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 25 basis points ตามคาด โดย Dow เพิ่มขึ้น 1.05%, S&P 500 ขึ้น 0.67% และ Nasdaq บวก 0.33% ขณะที่ดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นขนาดเล็กปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.3% ทำสถิติสูงสุดใหม่

เฟดระบุถึงความอ่อนแอในตลาดแรงงานเป็นเหตุผลหลักในการลดดอกเบี้ย และยังคงคาดการณ์ GDP ปี 2026 ที่ 2.3% กับอัตราว่างงาน 4.4% ส่วน Bond Yield 10 ปี ลดลงแตะ 4.14% และ Dollar Index อ่อนค่าลง 0.6%

2. เฟดลดดอกเบี้ย 0.25% ในขณะที่คณะกรรมการมีความเห็นแตกแยก

เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 25 bps สู่กรอบ 3.50–3.75% ซึ่งเป็นการลดครั้งที่ 3 ติดต่อกันในปี 2025 โดยมีเสียงคัดค้าน 3 เสียง สองคนต้องการ “คงดอกเบี้ย” และหนึ่งคนต้องการ “ลด 50 bps” สะท้อนการแตกคอภายในคณะกรรมการอย่างชัดเจน เจอโรม พาวเวลล์ระบุว่าดอกเบี้ยขณะนี้ “เข้าใกล้ระดับเป็นกลาง” และเฟด “อยู่ในจุดที่สามารถรอดูข้อมูล” ทำให้ตลาดตีความว่าบาร์สำหรับการลดดอกเบี้ยรอบต่อไปสูงขึ้น และรอบผ่อนคลายอาจชะลอหรือหยุดชั่วคราว Dot plot คงมุมมองว่าปี 2026 ดอกเบี้ยเฉลี่ยราว 3.4% และปี 2027 ราว 3.1%

ขณะที่คาดเงินเฟ้อ PCE core ลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปและกลับสู่ 2% ในปี 2028 ตลาดแรงงานถูกมองว่ายังชะลอแบบคุมได้ (ว่างงานคาด 4.4–4.5% ในช่วง 2025–2026) ทำให้เฟดไม่เร่งลดดอกเบี้ยเพิ่ม แต่ก็ยังใช้นโยบายสนับสนุนสภาพคล่องผ่านการซื้อ Treasuries เพื่อคลายความตึงตัวในตลาดเงินระยะสั้น

3. CPI จีนพุ่งสูงสุดในรอบ 21 เดือน แต่ตัวเลขชี้จีนยังเผชิญแรงกดดันด้านเงินฝืด 

อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภค (CPI) ของจีนเดือนพฤศจิกายนขยายตัว 0.7% YoY สูงสุดในรอบ 21 เดือน จากราคาสินค้าอาหารที่ปรับขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core inflation) ยังทรงตัวที่ 1.2% ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ยังคงติดลบต่อเนื่องที่ -2.2% สะท้อนแรงกดดัน Deflation ในภาคอุตสาหกรรม โดยเจ้าหน้าที่สถิติระบุว่ามาตรการรัฐที่พยายามจัดการการแข่งขัน “แบบทำลายตัวเอง” ในบางอุตสาหกรรมเริ่มเห็นผล

ทำให้อัตราการลดลงของราคาในหมวดที่เกี่ยวข้องแคบลง แต่ภาพรวมยังเป็นเงินเฟ้อระดับต่ำมาก เมื่อเทียบกับเป้าหมายการเติบโตและแรงกดดันด้านดีมานด์ จึงยังเปิดทางให้ธนาคารกลางจีนคงท่าทีผ่อนคลายและใช้มาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม 

4. IMF ประกาศปรับประมาณการเติบโตเศรษฐกิจจีนปี 2025 ขึ้นเป็น 5% สะท้อนเศรษฐกิจจีนยังคงมีความยืดหยุ่น

IMF ประกาศปรับประมาณการเติบโตเศรษฐกิจจีนปี 2025 ขึ้นเป็น 5% จากระดับที่เคยประเมินต่ำกว่านี้ในเดือนตุลาคม โดยให้เหตุผลหลักจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐและการปรับลดภาษีนำเข้าบางส่วนที่ช่วยพยุงดีมานด์ รวมถึงสะท้อนมุมมองว่าเศรษฐกิจจีนแสดง “ความยืดหยุ่น” หลังเผชิญช็อกหลายระลอกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เช่น อสังหาฯชะลอตัว การระบาดโควิด และความตึงเครียดด้านการค้า

อย่างไรก็ตาม IMF คาดว่าอัตราการเติบโตจะชะลอลงสู่ 4.5% ในปี 2026 โดยมองว่าเศรษฐกิจยังเผชิญ “ความไม่สมดุล” ทั้งในเชิงโครงสร้างและรูปแบบการเติบโตที่ยังพึ่งการส่งออกและการลงทุนมากเกินไป Sonali Jain-Chandra หัวหน้าทีม IMF ประจำจีน ระบุชัดว่าขนาดเศรษฐกิจจีนที่ใหญ่และความตึงเครียดด้านการค้าระดับโลกที่สูงขึ้น

ทำให้การอิงการส่งออกไม่ใช่โมเดลการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว จึงแนะนำให้ปักกิ่งเร่งทรานส์ฟอร์มไปสู่โมเดลที่ขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศ มุมมองนี้มีนัยเชิงบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงจีนในแง่ tail risk ลดลง แต่ก็ชี้ว่าศักยภาพการเติบโตระยะยาวเริ่ม “เลื่อนลง” จากระดับก่อนโควิด

5. ByteDance และ Alibaba เตรียมสั่งซื้อ Nvidia H200 หลังสหรัฐฯ ไฟเขียว

ByteDance และ Alibaba สนใจสั่งซื้อชิป Nvidia H200 ซึ่งเป็น AI chip ที่ทรงพลังอันดับสองของ Nvidia หลังประธานาธิบดีทรัมป์อนุญาตให้ส่งออกไปจีน โดย H200 มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 ถึง 6 เท่า อย่างไรก็ตาม บริษัทจีนยังกังวลเรื่องความเสี่ยงด้านอุปทาน

เพราะ Nvidia โฟกัสกำลังผลิตไปที่ตระกูล Blackwell และ Rubin ขณะที่ทางการจีนอาจขอพิจารณาคำขอซื้อ H200 เนื่องจากทางการจีนยังต้องการสนับสนุน AI chip ที่ผลิตในประเทศ เช่น Huawei และ Cambricon ที่เพิ่งถูกเพิ่มเข้าในลิสต์จัดซื้อภาครัฐ

6. หุ้น Oracle รายงานกำไรดีเกินคาด แต่หุ้นปรับตัวลดลง -11.3% จากความล่าช้าในการแปลง Backlog มาเป็นรายได้

Oracle รายงานกำไรต่อหุ้นปรับปรุง (adjusted EPS) ที่ 2.26 ดอลลาร์ สูงกว่าคาด 1.64 ดอลลาร์อย่างมีนัย ซึ่งสะท้อนการบริหารมาร์จิ้นและต้นทุนที่ดี แม้ในสภาพแวดล้อมการแข่งขันสูง. อย่างไรก็ดี รายได้รวมออกมาที่ 16.06 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย (consensus ราว 16.2 พันล้านดอลลาร์) ขณะที่รายได้จาก Oracle Cloud Infrastructure โต 68% แตะ 4.08 พันล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังต่ำกว่าความขาดหวังของตลาดที่ตั้งไว้สูงมาก

หลังบริษัทพูดถึงดีล AI ขนาดใหญ่ก่อนหน้า นอกจากนี้ธุรกิจซอฟต์แวร์ดั้งเดิมมีรายได้รวมลดลงราว 3% เหลือ 5.9 พันล้านดอลลาร์ และรายได้จาก software license ใหม่ร่วงแรงถึง 21% YoY ตอกย้ำว่าการย้ายจาก license ไป subscription ยังกดตัวเลขปัจจุบัน

ด้าน backlog ภาพออกมาดูดีเกินคาดโดย Remaining Performance Obligations พุ่งถึง 523 พันล้านดอลลาร์ (+438% YoY) ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็น “สัญญาณดีระยะยาวแต่กดดันระยะสั้น” เพราะแปลว่าบริษัทรับข้อตกลงลงทุน data center/AI infrastructure จำนวนมาก แต่ยังไม่เห็นการแปลงเป็นรายได้ หุ้นจึงร่วงราว 11.3% หลังตลาดปิด

7. ททท. เผยต่างชาติเข้าไทยสัปดาห์ล่าสุด 669,991 คน (+5.5%WoW) สะท้อนโมเมนตัมไฮซีซั่นที่เริ่มชัดเจน

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (ททท.) เปิดเผยว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 669,991 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 34,774 คน หรือประมาณ 5.5%WoW เฉลี่ยวันละราว 95,700 คน สะท้อนการฟื้นตัวของการเดินทางในทุกกลุ่มตลาด

โดยเฉพาะตลาดระยะใกล้ที่ฟื้นตัวดี กลุ่มประเทศที่เติบโตเด่นตามตัวเลขที่ให้มา ได้แก่ มาเลเซีย (+27.7%WoW), เกาหลีใต้ (+7.1%WoW), อินเดีย (+6.6%WoW) และจีน (+4.1%WoW) ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมทั้งปีที่กลุ่มมาเลเซียและจีนเป็นสองสัญชาติหลักของนักท่องเที่ยวเข้าไทย

ประเด็นที่ต้องติดตาม :

Initial Jobless Claims ของสหรัฐฯ คาดาการณ์ที่ 2.20 แสนตำแหน่ง ก่อนหน้าที่ 1.91 แสนตำแหน่ง

อ้างอิง : บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) , กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์