วันพุธ, กันยายน 10, 2568

คุก..กลยุทธ์ อาจไม่ใช่จุดจบ? ทวนคมคิด ทักษิณ ตาดูดาว เท้าติดดิน

by Trust News, 10 กันยายน 2568

“ทักษิณ” ติดคุก “เพื่อไทย” จบแล้ว จริงหรือ… ย้อนดู หนังสือชีวประวัติ “ตาดูดาว เท้าติดดิน” อ่านความคิด เส้นทางสู่อำนาจ ในวันที่ อาจต้องนับ 1 ใหม่ หรือ การหาจังหวะพลิกเกม…

ยอมรับตรงๆ ว่า ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เดาว่า คุณทักษิณ ชินวัตร เลือกที่จะไม่กลับไทย เพื่อมารับฟังคดีชั้น 14 ในช่วงวันที่ 9 กันยายน ที่ผ่านมา

เพราะสถานการณ์ทางการเมืองหลายอย่าง ไม่เอื้อ ต่อ “ตระกูลชินวัตร”

ทั้งเรื่องของลูกสาว ที่เพิ่งหลุดจากตำแหน่งนายกฯ ขณะที่ พรรครัฐบาล กลายเป็นของ “สีน้ำเงิน”

ยังไงๆ คุณทักษิณ ไม่ยอมติดคุก แน่ๆ ก็เหมือนๆ กับคุณ จตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแดนนำคนเสื้อแดง ได้พูด…

หากจะดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหนในก่อนหน้านี้ ที่เคยพูดไว้ เช่น ตอนชุมนุมเสื้อแดง

“หากมีเสียงปืนนัดแรก เขาจะนำทัพลงมา…” แต่ก็ไม่มา

ฉะนั้น ใครๆ จึงคิดว่า ไม่มาแน่...

แต่เขาก็กลับมา... แม้จะรู้ว่า ต้องเข้าเรือนจำก็ตาม

การกลับมาครั้งก่อน เราแทบไม่เห็นนายทักษิณ​เลย ว่าเข้าเรือนจำอย่างไร แต่ครั้งนี้ ต่างออกไป คือ นั่งรถของเรือนจำ พร้อมให้นักข่าวได้ตามถ่ายด้วย

ซึ่งนี่ อาจจะเป็น “กลยุทธ์” ทางการเมืองหนึ่ง เพื่อรบคำครหาว่า “ไม่ติดคุก” จริงๆ อย่างครั้งก่อน

อาจจะคล้ายๆ การกินไก่โชว์ ในช่วงไข้หวัดนก เพื่อเรียกคะแนนนิยมกลับมาอีกครั้ง

และจากสถานการณ์การเมืองของคุณทักษิณ ในวันนี้ ทำให้ผมนึกถึงหนังสือ “อัตชีวประวัติของทักษิณ ชินวัตร” ก็คือ “ตาดูดาว เท้าติดดิน” เพื่อขุดค้น วิธีการคิด หาทัศนคติ ลึกๆ ที่เอามาใช้ในเกมแห่งอำนาจ

ประโยคแรกของหนังสือ “จำไว้นะลูก ถ้าฐานะยังไม่ดี อย่าเล่นการเมือง เพราะเล่นการเมืองต้องเสียสละมาก ดูอย่างพ่อสิ ต้องเสียทั้งเงิน เวลา และยังเดือดร้อนครอบครัวอีก”

ทักษิณ เล่าในหนังสือว่า เขาได้ยินคำนี้จากแม่ของเขา ในช่วงปี 2513 เพราะเห็นตัวอย่างจากพ่อ คือ นายเลิศ​ ชินวัตร ส.ส.เชียงใหม่ ที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2512

นอกจากมุม โก้เก๋ ของการเป็นนักการเมืองแล้ว ยังมีมุมอื่นๆ ที่เค้าไม่เคยรู้

ตอนนั้น ทักษิณ อายุ 20 ปี ยังไม่ประสีประสาทางการเมือง และยังเรียนอยู่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ...

เค้าเองก็ติดตามพ่อ ไปทุกหนทุกแห่งในการทำงานทางการเมือง ทั้งงานบุญ งานศพ งานราษฎร์ งานหลวง

แล้วก็รู้ว่า นอกจากต้องเสียสละแล้ว ยังต้องควักเนื้อของตัวเองด้วย
เงินของตัวเอง

“บางทีเงินไม่พอ ต้องแอบกลับบ้านมาเอาที่บ้านอีกนะลูก บางครั้งแม่ก็แอบซุกเงินไว้ ไม่งั้นจะไม่มีเงินส่งเสียลูกร่ำเรียน”

และคำเตือนครั้งที่สอง เรื่องการเล่นการเมือง ก็มาจากผู้หญิงอีกคน ที่ชื่อ “อ้อ” เมื่อ 10 ปีก่อน

หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์ ในปี 2544 ฉะนั้น คำเตือนหญิงอ้อ น่าจะตอนปี 2534

ตอนนั้น เป็นช่วงรัฐบาลนายชาติชาย ชุณหะวัณ ขณะนั้น คุณทักษิณ ยังเป็นนักธุรกิจอยู่

คุณทักษิณ ถามภรรยา ว่า ฐานะทางบ้านดีขึ้นบ้างแล้ว จะไปทำงานการเมืองได้ไหม...

หญิงอ้อ มีความแตกต่างจาก “แม่ของทักษิณ” ตรงที่เธอเป็นคนที่มีการศึกษาสูง ถือเป็นนักธุรกิจที่บริหารงานได้เยี่ยมยอด

แต่สิ่งที่เหมือนกัน ระหว่าง “หญิงอ้อ” กับ “แม่ทักษิณ” คือ เป็นคนสมถะ เอาใจใส่ครอบสวครัว ไม่สนใจการเมือง

แต่เมื่อรู้ว่าความปรารถนา ของ “คู่ชีวิต” นั้น ต้องการสิ่งใด ก็พร้อมให้การสนับสนุน

ทักษิณ ได้คำตอบจากการพูดคุยกับ แม่ และ เมีย ที่เป็นห่วงเรื่องความพร้อมนั้น

ไม่ใช่แค่พร้อมทางด้านฐานะอย่างเดียว แต่ต้องพร้อมในเรื่องของ แรงบันดาลใจ ความคิด ความมุ่งมั่น เป้าหมาย และจุดยืนทางการเมือง และจะไม่เป็น “ภาระทางการเมือง”

ทักษิณ เล่าในหนังสือหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องราวการต่อสู้ของพ่อ และได้รับแรงบันดาลใจมาหลายอย่าง

แต่จุดเปลี่ยนอย่างหนึ่ง คือ ช่วงเป็นนักเรียนนายร้อย คือ

1.ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
2.ตายเสียดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้
3.ตายเสียดีกว่าละทิ้งหน้าที่ “ทางไปสู่เกียติศักดิ์ จักประดับดอกไม้หอมหวนชวนจิตไซ้ร์ ไป่มี”
ซึ่งเป็นปรัชญา ที่เขายึดถือ และเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่จากชีวิตนักเรียนเตรียมทหารกับนักเรียนนายร้อยตำรวจ...

“มึง…ไม่มีชื่อเล่นหรือวะ”
พอเข้าเรียนเตรียมทหารเพื่อนก็ถาม
“ไม่มี…มีแต่ชื่อทักษิณนี่แหละ”
“มันยาว เรียกยากนะ”
“ก็หาชื่อให้มันใหม่สิวะ”
อีกคนออกความเห็น
“มันมาจากเหนือ ผิวก็ขาว เรียกว่า “แม้ว” แล้วกัน เหมือนพวกแม้วชาวเขาไงละ”
ว่าแล้วทุกคนก็ลงมติเอกฉันท์

นับแต่นั้นมา “ทักษิณ” จึงถูกเพื่อนเรียกว่า “แม้ว”

ทักษิณ บอกว่า เขาได้เรียนรู้จักระเบียบวินัย และความเท่าเทียม จากโรงเรียนเตรียมทหาร ไม่ว่ายากดีมีจน ทุกคนจะถูกปรับให้เท่ากัน ทั้งร่างกาย ด้วยการฝึกอย่างหนัก และจิตใจ ในการอดทน

อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ว่าจะไปทางไหนดี

เค้าหันกลับไปมองรากเหง้าคนครอบครัว ก็เต็มไปด้วยทหาร....

ทหารอากาศ เป็นอะไรที่ดึงดูดมาก เพราะเพิ่งมีการตั้งกองบินหมาดๆ แต่ ญาติคนหนึ่งได้เลือกไปแล้ว

ครั้นจะไปทหารเรือ ก็ดันว่ายน้ำไม่เก่ง

สุดท้ายจึงตัดสินใจเลือกตำรวจ...

ทักษิณ เล่าย้อนถึงการเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ตัวเอง ได้พูดคุยกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในสมัยตอนเป็น นายกฯ และเล่าว่า

“บิ๊กจิ๋ว” ขอให้ “ทักษิณ” รับตำแหน่งรองนายกฯ ในการปรับ ครม. ครั้งสุดท้าย โดยยกความจำเป็นของชาติเป็นเหตุผล เค้าจึงยากที่จะปฏิเสธ เพราะนึกถึงสมัยตอนเรียนเตรียมทหาร และนายร้อยตำรวจว่า คือ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้, ตายเสียดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้ และ ตายเสียดีกว่าละทิ้งหน้าที่

ในด้านการทำงาน “ทักษิณ” เล่าว่า เขาได้ทดลองทำงานมาแล้วสารพัด และงานส่วนใหญ่ อยู่ในระดับ “เบ๊” ตอนเรียนต่อ ปริญญาโทด้วยทุน กพ. เขาได้ทุน เดือนละ 160 เหรียญ แต่ดันอยากได้รถสปอร์ต

จึงยอมผ่อน เดือนละ 93 เหรียญ ก็ไม่พอกิน จึงต้องหาจ๊อบทำ...

เป็นทั้งบ๋อยโรงแรม ผู้ช่วยกุ๊กอาหารเช้า พนักงาน KFC ไก่ทอด โคลสลอว์ ทำได้หมด

พอมาต่อปริญญาเอก การหาเงินเป็นเรื่องจำเป็น จึงต้องทำงานพิเศษ ด้วยการส่งหนังสือพิมพ์ ต้องต่อสู้กับหมาที่วิ่งไล่ฟัด

ขณะที่คุณอ้อ เองก็ทำงานพิเศษ​ เป็นพี่เลี้ยงเด็ก ขายของหน้าร้านเบอร์เกอร์คิง พนักงานห้าง…

ทักษิณ มองว่า “ความลำบาก” ที่เจอในสหรัฐ คือประสบการณ์ที่ต้องก้าวเท้าติดดิน ย่ำผ่านอุปสรรค ฉะนั้น ความสำเร็จใดๆ ไม่ใช่เรื่องอย่างง่ายดาย เพราะเขาเชื่อว่า ชีวิตคนเรานั้น ไม่มี “ฟลุก”

แต่สิ่งบังเอิญ คือ ตอนที่ไปเรียนตรงกับ 14 ตุลาคม 2516 และ หนที่สอง คือ 6 ตุลาคม 2519

ทำให้เขาพลาดในการรับรู้สถานการณ์บ้านเมือง

ทักษิณ เรียนปริญญาเอก ด้านอาชญากรรม แต่สิ่งที่เปิดโลก คือ วิชาด้านการเมือง เขาได้เรียนรู้จากนักปรัชญาของโลก โดยเฉพาะประเด็น กระบวนการยุติธรรม พฤติกรรม และ ประชาธิปไตย...

การเรียนครั้งนั้น ทำให้ “ทักษิณ” เรียนรู้โลกแห่งความจริง และอุดมการณ์ ได้มากขึ้น

แต่นอจาก การเรียนด้านการเมืองแล้ว ทักษิณ​ ยังลงเรียนด้าน “คอมพิวเตอร์” ซึ่งนี่เอง คือสิ่งที่ปูรากฐานด้านธุรกิจให้กับเขา

แน่นอนว่า ในเกมธุรกิจ ทักษิณ ประสบความสำเร็จ จากคอมพิวเตอร์ ล้มพับไม่เป็นท่า กับ อสังหา และกลับมาใหม่ ด้วยธุรกิจ คมนาคม ยามที่ไม่มีใครมองเห็นโอกาส

กระทั่งเข้าสู่การเมือง

ทักษิณ เล่าเบื้องหลัง การพบปะ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เดิมก็รู้จักกันอยู่แล้ว เพราะเหมือนเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง โรงเรียนนายร้อย จปร. กับ นักเรียนเตรียมทหาร แถมบ้านอยู่ใกล้กัน แถวราชวัตร

ทักษิณ​ เล่าว่า ตอนนั้น พล.ต.จำลอง เข้ามาเสนอให้เขา รับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ เพราะเห็นว่ามีคุณสมบัติ พร้อม

เค้าไม่ได้ตอบรับในทันที ขอเวลาตรึกตรอง และถามภรรยา รวมถึงอยากจะถามกับ คุณชวน หลีกภัย ซึ่งตอนนั้น ทักษิณ มองชวน หลีกภัย ว่าเป็นนักการเมือง ที่เหมือน โรล โมเดล ของนักการเมืองที่ซื่อสัตย์ และสมถะ

และที่สำคัญ นายชวน ได้เคยชวนทักษิณ ลงเลือกตตั้งในนามประชาธิปัตย์ด้วย เพราะเห็นว่าเป็นพรรคเก่าแก่

ทักษิณ เล่า ว่าเค้าพยายามติดต่อ นายชวน ซึ่งปกติ ติดต่อพูดคุยได้ง่ายมาก แต่ครั้งนั้น นายชวน ต้องเดินทางไปแคนนาดา กำลังเตรียมเรื่องเอกสารต่างๆ ทำให้ไม่สะดวก

อีกด้านหนึ่ง ที่ลังเล เพราะคิดว่า “เขาควรจะเริ่มต้น” ทางการเมืองกับพรรคพลังธรรมหรือไม่

แต่สุดท้ายเขาก็ตอบตกลง.... เราจึงเห็นทักษิณ ชินวัตร เป็น รมว.ต่างประเทศ​ ในโควต้าพรรคพลังธรรม

ในช่วงเป็น รมว.ต่างประเทศ ทักษิณ​ เจอคำถาม “โยงใยการรัฐประหารในกัมพูชา” เนื่องจาก เขาไปลงทุนที่กัมพูชา…

เค้าตอบทันทีว่า “ไม่เป็นความจริงเลย ถูกปล่อยข่าวทำลายมากกว่า”

ทักษิณ ยอมรับว่า แม้เค้าจะเจอข่าวภายนอกที่ถาโถม แต่การทำงานภายในกลับราบรื่น เค้านำหลักการบริหารธุรกิจ มาใช้กับราชการ

เค้าเชื่อว่า การทำงานอย่างมีทิศทาง และกลยุทธ์ อันเป็นหน้าที่ของ “ผู้นำ” จะทำให้งานสำเร็จ

หลักการสำคัญ 3 อย่าง ที่เป็นวิสัยทัศน์ คือ ต้องใช้ “เศรษฐกิจนำการเมือง”

ใช้ความรู้ 3 ด้าน คือ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคง และ เศรษฐกิจ

ทักษิณ เชื่อว่า “โลกในวันข้างหน้า จะแข่งขันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ​ ประเทศเปรียบเสมือนบริษัท ต้องการการบริหารจัดการที่ดี มีประสิทธิภาพ พอชิงไหว ชิงพริบ แข่งขันกับชาติอื่นได้”

เราก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจนำการเมือง ดังนั้น การทูต ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง...

ถ้าเปรียบเป็นการแข่งวิ่งผลัด ก.การต่างประเทศ คือ ไม้ที่หนึ่ง

เวลาส่งต่อ ไม้ที่หนึ่ง ต้องวิ่งคู่ไม้ที่สองระยะหนึ่งด้วย ค่อยส่งต่อ

ทักษิณ เขียนในหนังสือ “ตาดูดาว” เล่มนี้ ว่า การทำข้อตกลงระหว่างประเทศ ในสไตล์เค้า มี 2 รูปแบบ

คือ การทำข้อตกลงระหว่างประเทศต้องยึดสาระมากกว่ารูปแบบ และเน้นการให้ความสัมพันธ์

“ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะช่วยให้เจรจาราบรื่นยิ่งขึ้น”

กลยุทธ์นี้ ทักษิณ ได้ชี้แจงกับ อธิบดีกรมการทูต ในขณะนั้น เพื่อขอลดพิธีรีตองต่างๆ ทักษิณ ยอมรับในพิธีกรรมต่างๆ แต่ขอเป็นพิธีเพื่อไม่ให้เสียหน้า

เราต้องเลือกรูปแบบที่เหมาะสม เพื่อรับใช้กับ “สาระ” ไม่ใช่ให้ “สาระ” มาครอบงำโดยรูปแบบ

ทักษิณ ยกตัวอย่างว่า “เวลาเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้าน จะไปโดยเครื่องบินทหารเสมอ เพื่อส่งสัญญาณให้รู้ว่า ผมกับทหารใกล้ชิดกัน เนื่องจากปัญหาชายแดนเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

แต่เวลาไปบรูไน ผมเช่าชาเลนเจอร์ ของการบินไทย เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่า เราไม่ได้ด้อยกว่าเค้า...

ทักษิณ เล่าว่า ตอนประชุมเอเปค ครั้งแรกในชีวิต เค้าไม่ได้รู้สึกประหม่า เพราะรัฐมนตรีของต่างประเทศ หลายคนรู้จักเค้า จากบทบาทนักธุรกิจ เค้าพกความมั่นใจอันหนักแน่น เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ

ทักษิณ ทำงาน ในกระทรวงการต่างประเทศ ร้อยกว่าวัน จากนั้น ก็ก้าวสู่หัวหน้าพรรคพลังธรรม ก่อน จะพักเบรกทางการเมือง และสุดท้าย ก็มาตั้งพรรคไทยรักไทย

ทักษิณ มองการเมืองแบบ นักการตลาด ว่า ปัญหาของการเมืองไทยในเวลานั้น ขาด “วิสัยทัศน์” หรือ “ดาว” ส่องนำทาง

จึงไม่แปลก ที่ยุคนั้น ที่คนไทย จะชื่นชอบ ในตัว คุณทักษิณ และอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศ จึงได้รับความนิยม และได้ชัยชนะ ในการเลือกตั้ง เสมอมา...

แต่เมื่อมาถึงยุคนี้ เราได้เห็นข่าวสารรอบด้าน นอกจากเห็นตัวหนังสือที่เขียนแต่เรื่อง “ดีๆ” จากในหนังสือที่เขาเขียนแล้ว

ก็ยังมีบางมุม ที่ถูกบอกเล่า จากหน้าสื่อข่าวหลัก ความพยายามจากความใช้ “ความสัมพันธ์” ส่วนตัว นำพา จนเกิดปัญหา คำครหา เพื่อ หลบ เลี่ยง หรือ หนี ความผิด

จนมาถึงวันที่ 9 กันยายน 2568 ที่ คนอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องเดินเข้าสู่เรือนจำ

หลังจากนี้ คงต้องติดตามดูกันต่อ ว่า​ “กลยุทธ์” ของ “แม้ว” จะเป็นอย่างไร

จะเพื่อสร้างภาพให้คนเห็นว่า “ผมยังอยู่ ผมยังสู้” หรือไม่ ลบคำครหา

หรือเพื่อคนในตระกูล ที่ยังมี “อิ๊งค์ แพทองธาร -ยิ่งลักษณ์” ในคดีถัดไป

หรือ จะเป็นเกมที่ถนัด การดีล...และข้อตกลง ใหม่ มีหรือไม่

ซึ่งหากเป็น “ข้อที่ 3” นั้น ก็คงต้องดูต่อไปว่า

“ความสัมพันธ์ทางการเมือง คือสะพานที่สร้างด้วยผลประโยชน์ และพังลงด้วยผลประโยชน์เช่นกัน” จริงหรือไม่..

แล้วประเทศไทย จะมีนายกรัฐมนตรีไทย จากตระกูล “ชินวัตร” อีกหรือไม่

หรือ ว่าจะสิ้นสุด เพียงเท่านี้

++++++++++++++

อ่านบทความที่น่าสนใจ 

สำรวจ “นครดูไบ” ทำไมใครๆชอบไปกันจัง

ทักษิณไม่รอดคดีชั้น14 ศาลมีคำสั่งนำตัวกลับไปจำคุก1ปี

ขบเหลี่ยม เฉือนคม "อนุทิน" ถึง อิ๊งค์-ทักษิณ ก่อนผงาดว่าที่นายกฯ คนที่ 32

รักเวียดนามชิงชังไทย เหตุใดเขมรจึงลำเอียง (ชมคลิป)

 


You might be intertested in this news.

Mostview

ตำนานโคตรโกง7,000ล้านเยน กลลวงยักษ์ใหญ่ซื้อที่ดินสุดเนียน (ชมคลิป)

ตำนานโคตรโกง7,000ล้านเยน กลลวงยักษ์ใหญ่ซื้อที่ดินสุดเนียน (ชมคลิป)

สำรวจ “นครดูไบ” ทำไมใครๆชอบไปกันจัง

สำรวจ “นครดูไบ” ทำไมใครๆชอบไปกันจัง

รีวิว Bambi The Reckoning เมื่อกวางคลั่งแค้นคล้ายซอมบี้

Bambi The Reckoning เปิดเรื่องด้วยการเล่าด้วยภาพการ์ตูนเกี่ยวกับกวาง ซึ่งเสียงผู้หญิงที่เล่าเสียงน่าฟังมาก และคิดตามว่าที่กวางดุร้ายไล่ฆ่าคนเพราะถูกมนุษย์รังแกก่อนซึ่งก็ส่วนหนึ่ง ...

เตือน! จับตาลำน้ำแม่สาย-กก เหตุ พายุโซนร้อนตาปะฮ์ จ่อถล่มพม่า 11-12 ก.ย.

เตือน! จับตาลำน้ำแม่สาย-กก เหตุ พายุโซนร้อนตาปะฮ์ จ่อถล่มตอนเหนือพม่า 11-12 ก.ย. ...

รีวิว “The Conjuring: Last Rites” กับสูตรสำเร็จที่ลงตัว

ในที่สุดจักรวาลสยองขวัญที่แฟน ๆ เฝ้าติดตามมายาวนานก็มาถึงบทสรุป The Conjuring: Last Rites เป็นภาคที่ยังคงเอกลักษณ์ของซีรีส์เอาไว้อย่างครบถ้วน

TrustNEws Line