รักเวียดนามชิงชังไทย เหตุใดเขมรจึงลำเอียง
by Trust News, 1 กันยายน 2568
รักเวียดนามชิงชังไทย เหตุใดเขมรจึงลำเอียง
“กองทัพพระพุทธเจ้า” (Buddhist Army)
“หากไม่มีความช่วยเหลือจากกองทหารอาสาเวียดนาม และรอคอยให้กัมพูชาปลดปล่อยตัวเองจากเขมรแดง ป่านนี้ ประชาชนชาวกัมพูชาทุกคนคงตายกันหมดแล้ว”
ทั้งหมดนั้น คือ คำกล่าวของ “ฮุนเซน” ผู้นำตลอดกาลของกัมพูชา ที่ยกย่อง “เวียดนาม” ในฐานะมิตรประเทศอันใกล้ชิดและมีบุญคุณ ซึ่งช่าง “แตกต่าง” จากอีกประเทศ ที่ “คนๆเดียวกันนี้” กล่าวหาว่าเป็น…ฝ่ายรุกรานกัมพูชา รวมถึงพยายามหาเหตุ “ยึดครองดินแดน” จนนำไปสู่การใช้กำลังทหารปะทะกันมาแล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา
ทั้งๆที่ ครั้งหนึ่ง ชาวเขมรที่กำลังทุกข์ยาก ไม่มีทั้งน้ำ อาหาร ยารักษาโรค ต่างแห่หนีตาย มาขอพักพิงอาศัยเพื่อหนีภัยสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุด้วยกันเอง บนผืนแผ่นดินที่ชาวเขมรในปัจจุบัน ต่างพร้อมใจเรียกว่า “เสียม”
เหตุใด ความช่วยเหลือของเวียดนาม และ ไทย จึงทำให้ “ชาวเขมร” เกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันราว “ฟ้ากับเหว” ได้มากมายถึงขนาดนี้?
วันนี้ “เรา” ลองไปสำรวจข้อมูลต่างๆ ที่เราได้รวบรวมมาจากทั้ง เวียดนาม กัมพูชา และ ชาติตะวันตก ซึ่งอาจนำไปสู่ “คำตอบ” ที่บางที “คุณ” อาจสนใจใคร่อยากรู้ก็เป็นได้

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ :
หลังฝ่ายเขมรแดง ล้มล้างการปกครองของ ลอน นอน และเข้ายึดกรุงพนมเปญ ได้สำเร็จในวันที่ 17 เมษายนปี 1975
“พล พต” ผู้นำเขมรแดง ได้สถาปนาอาณาจักรแห่งความกลัว ขึ้นบนแผ่นดินกัมพูชา ด้วยการ “กำจัดเป้าหมายทุกชนิด” ที่ตัวเองเชื่อว่าเป็นตัวแทนของ “ระบอบทุนนิยมความไม่เท่าเทียม และมรดกทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาติ” ด้วยการทำลายทั้ง “สถาบันครอบครัว การนับถือศาสนา และแหล่งสั่งสอนวิชาความรู้ต่างๆ”
และไม่เว้นแม้แต่ ผู้มีการศึกษา เช่น แพทย์ ทนายความ ทหารและตำรวจ พลเมืองที่นับถือศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม เพื่อนำพาประเทศไปสู่สังคมเกษตรกรรมในอุดมคติ “ผ่านระบบนารวม” เพื่อสร้าง “คนรุ่นใหม่ที่ภักดีต่อระบอบเขมรแดงเท่านั้น” จนเป็นเหตุให้มี “ชาวเขมรต้องสังเวยชีวิตนับล้านคน”
และไม่เพียงชาวเขมรด้วยกันเท่านั้น ที่ตกเป็นเหยื่อการล่าสังหาร เพราะอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญที่ฝ่ายเขมรแดง ต้องการกวาดล้าง ก็คือ “ชาวเวียดนาม” ซึ่งอยู่ในประเทศกัมพูชา มาตั้งแต่ยังเป็น “เมืองขึ้นของฝรั่งเศส” เนื่องจาก ชาวเวียดนามเหล่านี้ ถูกมองว่า เป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยชาติและบูรณภาพแห่งดินแดน
โดย หากอ้างอิงข้อมูลของ “ฟัลครัม” (Fulcrum) องค์กรไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดที่เก็บข้อมูลต่างๆที่เชื่อมโยงกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ระบุเอาไว้ว่า ผลสำรวจสำมะโนประชากรของกัมพูชา ก่อนการรัฐประหารของ ลอน นอล ในปี 1970 มีชาวเวียดนามอยู่ในประเทศกัมพูชามากถึง 400,000 - 450,000 คน จากจำนวนประชากรทั้งประเทศ 6.7 ล้านคน หรือ คิดเป็น 5.97% - 6.72%!
อย่างไรก็ดี รายงานของ “ฟัลครัม” ระบุว่า ณ สิ้นปี 1977 หรือ เพียงไม่ถึง 2 ปี หลังการครองอำนาจของเขมรแดง มีชาวเวียดนามหลงเหลืออยู่ในประเทศกัมพูชา เพียงไม่กี่พันคนเท่านั้น!
ฮุนเซนและการหักหลัง :
อ้างอิงจากรายงานของสื่อตะวันตก ระบุว่า ระบบการปกครองอันโหดเหี้ยม ทำให้ “เขมรแดง” เริ่มถูกต่อต้านจากชาวเขมรมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกลุ่มเขมรแดงติดอาวุธ ที่ต้องการตีตัวออกจาก “ระบอบพล พต” ซึ่งการต่อต้านที่ว่านี้ ในเวลาต่อมาได้นำไปสู่การใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรง จนเป็นผลให้กลุ่มคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ ต้องหลบหนีการตามล่าของเขมรแดง ไปยังประเทศเวียดนาม
อย่างไรก็ดี “สารคดีการเดินทางกอบกู้ประเทศ” (Journey to Save the Country) ที่ถูกจัดสร้างขึ้น โดยรัฐบาลกัมพูชา กลับระบุว่า “ฮุนเซน” ซึ่งในเวลานั้น ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกรมทหารที่ 21 ประจำภาคตะวันออกของฝ่ายเขมรแดง ได้ตัดสินใจ นำผู้ติดตาม 4 คน แอบเดินเท้าลักลอบข้ามชายแดนไปยังประเทศเวียดนาม “เพื่อร้องขอให้กองทัพเวียดนามส่งกำลังเข้ามาปลดปล่อยชาวกัมพูชา จาก ระบอบเขมรแดง”
โดย ฮุนเซน ได้ระบุในสารคดีดังกล่าว ถึงสาเหตุที่ต้อง “ยืมมือฝ่ายเวียดนาม” ให้เข้ามายึดกรุงพนมเปญ เอาไว้ว่า เนื่องจาก ณ เวลานั้น ตนเองมีทหารภายใต้การบังคับบัญชาเพียง 2,000 นาย ซึ่งไม่แน่นอนว่า ย่อมไม่เพียงพอสำหรับต่อสู้กับฝ่ายนายพลพต ที่มีกำลังทหารในมือมากกว่าหลายเท่า และจากการประเมินเบื้องต้น กำลังทหารดังกล่าว น่าจะต้านการรบของฝ่ายพลพต ได้เพียงไม่เกิน 1 เดือนเท่านั้น
ทั้งนี้ ในสารคดีดังกล่าว “ฮุนเซน” ยังอ้างอีกด้วยว่า สาเหตุที่ต้องตัดสินใจเสี่ยงไปขอความช่วยเหลือจากเวียดนาม “เพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว” ถึงแม้จะมีความหวังเพียง 0.1% และมีความเสี่ยง ที่อาจจะถูกจับตัวคืนให้กับฝ่ายเขมรแดงก็ตาม
โดย ฮุนเซน อ้างว่า ในกรณีที่ถูกเวียดนามจับตัว เพื่อส่งคืนให้กับฝ่ายเขมรแดง นั้น ตนเองซึ่งมักพกเข็มเล็กๆ ถึง 12 เล่มไว้กับตัวเสมอ จะใช้เข็มเหล่านั้น “แทงคอ” เพื่อปลิดชีพตัวเองทันที
เขมรแดงปะทะเวียดนาม :
รายงานของสื่อเวียดนามหลายสื่อ ระบุตรงกันว่า หลังขึ้นครองอำนาจ “พลพต” มีเป้าหมายชัดเจนเรื่องการขยายดินแดน ด้วยการผนวกพื้นที่ของประเทศเวียดนาม
โดยนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 1976 เป็นต้นมา กองกำลังเขมรแดงภายใต้การสนับสนุนของจีน ได้นำกำลังบุกข้ามชายแดนทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเวียดนาม ที่ติดกับกัมพูชาหลายต่อหลายครั้ง พร้อมกับมีการปลุกระดม ผ่านการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารต่างๆ เพื่อหวังให้คนเขมรเกลียดชังเวียดนาม จากข้อหา “มีแผนการจัดตั้งสหพันธ์อินโดจีน ด้วยการผนวกประเทศกัมพูชา”
โดยมีเป้าประสงค์ เพื่อหวังยึดครองพื้นที่สามเหลื่ยมปากแม่น้ำโขงอันอุดมสมบูรณ์ทั้งหมด จนเป็นเหตุให้มีพลเรือนเวียดนามเสียชีวิตจำนวนมาก
โดยตามบันทึกของฝ่ายเวียดนาม ระบุว่า ในช่วงปลายปี 1976 เขมรแดงได้พยายามก่อเหตุยั่วยุถึง 280 ครั้ง และยังมีปฏิบัติที่การรุกล้ำเข้ามายังชายแดนของเวียดนาม มากถึง 20 จุด ด้วยท่าทีอันแข็งกร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ในวันที่ 30 เมษายน ปี 1977 เวียดนามยังระบุว่า เขมรแดง ได้ระดมกำลังทหารมากถึง 5 กองพล รวมถึงปืนใหญ่และรถถังจำนวนมาก มาใกล้ชายแดนเวียดนาม โดยอ้างว่า “เพื่อฝึกซ้อมรบ” ก่อนจะมีการระดมยิงปืนใหญ่เข้าใส่พื้นที่ ที่มีประชาชนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น และอยู่ลึกเข้ามายังดินแดนเวียดนาม จนเป็นผลให้กองทัพเวียดนามต้องใช้กำลังทหารเข้าตอบโต้ จนฝ่ายเขมรแดงต้องถอยร่นกลับไป
ต่อมาในวันที่ 25 กันยายน , 15 พฤศจิกายน และ วันที่ 5 ธันวาคม ปี 1977 กำลังทหารเขมรแดง ยังได้เปิดฉากโจมตีบริเวณชายแดนเวียดนามอย่างรุนแรงอย่างต่อเนื่อง จนเป็นเหตุให้มีชาวเวียดนาม เสียชีวิตมากกว่า 1,000 ศพ ก่อนจะถูกทหารเวียดนาม ผลักดันกลับไปได้สำเร็จ
ทั้งนี้ เนื่องจากเวียดนาม ต้องการหลีกเลี่ยงการรับศึก 2 ทาง จากทั้งฝ่ายเขมรแดงและจีน จึงได้พยายามใช้วิถีทางการทูต เพื่อขอเจรจามาโดยตลอด แต่ความพยายามทั้งหมดนอกจากจะถูก “ปฏิเสธ” แล้ว มิหนำซ้ำ “เขมรแดง” ยังได้ออกแถลงการณ์ประณามเวียดนามต่อชาวโลกว่า “เป็นฝ่ายรุกรานอธิปไตยของกัมพูชา” พร้อมกับประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนามอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 31 ธันวาคม ปี 1977 (รู้สึกไหมว่า วิธีการคุ้นๆ ยังไงไม่รู้)
ซึ่งทั้งการยั่วยุ การส่งกำลังทหารเข้าปะทะอย่างต่อเนื่อง พร้อมๆกับ “เลือกที่จะเมินเฉยต่อวิถีทางทางการทูต” จาก ฝ่ายเขมรแดงนี้เอง
ทำให้ ในช่วงปี 1978 ภายใต้การร้องขอของ “ฮุนเซน” เวียดนามจึงได้ตัดสินใจนำกำลังทหาร รวมถึง กองกำลังแนวร่วมกู้ชาติกัมพูชา (United Front for the National Salvation of Kampuchea) หรือ UNFSK ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกองกำลังติดอาวุธที่หลบหนีการกวาดล้างของเขมรแดง และฝรั่งเศสอดีตเจ้าอาณานิคม ไปอยู่ในประเทศเวียดนาม
ค่อยๆ เปลี่ยนจากการ “ป้องกันประเทศ” ไปสู่ “การรุกคืบ” เข้าไปในดินแดนกัมพูชา จนกระทั่งสามารถยึดกรุงพนมเปญ ได้สำเร็จในวันที่ 7 มกราคม ปี 1979 สิ้นสุดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ของ พลพต ที่ดำเนินมาถึง 3 ปี 8 เดือน 20 วัน ลงได้ในที่สุด
ทั้งนี้ ฝ่ายเวียดนาม ยังยืนยันด้วยว่า ปฏิบัติการทางทหารดังกล่าว เป็น “ปฏิบัติการตอบโต้ ไม่ใช่ การใช้กำลังทหารเข้ารุกรานกัมพูชา” แต่อย่างใด
จากนั้น จึงได้มีการจัดตั้งรัฐบาลกัมพูชาชุดใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามขึ้น ซึ่ง “ฮุนเซน” ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ด้วยวัยเพียง 27 ปี
ก่อนที่ในเวลาต่อมา “เจ้าตัว” จะค่อยๆกระชับอำนาจจากกลุ่มต่างๆ จนกระทั่งได้กลายเป็นผู้นำตลอดกาลของกัมพูชามาจนถึงปัจจุบัน

ถอนตัวจากกัมพูชา :
แม้จะสามารถขับไล่เขมรแดงลงจากอำนาจได้สำเร็จ หากแต่การคงกำลังทหารอยู่ในประเทศกัมพูชานานถึง 10 ปี (ระหว่างปี 1979-1989 )
ภายใต้ความชอบธรรม จาก สนธิสัญญาสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือ (The Treaty of Peace, Friendship and Cooperation) ระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อสนับสนุน “รัฐบาลหุ่นเชิด” ให้สามารถต่อสู้กับฝ่ายเขมรแดงและกลุ่มเขมรติดอาวุธอื่นๆ
ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เวียดนาม ต้องเผชิญหน้ากับ การต่อต้านที่หนักหน่วงมากขึ้นตามลำดับ
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาความตรึงเครียดระหว่างจีน ซึ่งสนับสนุนฝ่ายเขมรแดง และอดีตสหภาพโซเวียต ซึ่งสนับสนุนเวียดนาม จึงทำให้ในที่สุด รัฐบาลฮานอย จึงได้ตัดสินใจถอนกำลังทหารออกจากกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 26 กันยายน ปี 1989
ทั้งๆที่ เวียดนาม ยังไม่สามารถช่วยให้รัฐบาลหุ่นเชิด สามารถบรรลุข้อตกลงทางการเมืองกับ ฝ่ายเขมรแดงและกลุ่มต่อต้านอื่นๆได้ก็ตามที
ซึ่งสำหรับประเด็นนี้ หากอ้างอิงจากรายงานวิจัย “กองทัพเวียดนามถอนกำลังจากกัมพูชา” (Vietnamese Troops Withdraw from Cambodia) ของ รองศาสตราจารย์ลอรา เอ็ม คาลกินส์ (Laura M. Calkin) ผู้เชี่ยวชาญสาขาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกร่วมสมัย และประวัติศาสตร์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศร่วมสมัย มหาวิทยาลัยลอนดอน ซึ่งเผยแพร่ในปี 2023 ระบุว่า นอกเหนือจาก 2 ปัจจัยดังกล่าวแล้ว การถอนตัวจากกัมพูชาของกองทัพเวียดนาม น่าจะเชื่อมโยงกับการที่มีการประเมินว่า มีทหารเวียดนามมากถึง 23,500 นาย เสียชีวิต และอีกมากกว่า 55,000 นาย ได้รับบาดเจ็บสาหัส ในช่วงระหว่างการยึดครองกัมพูชาด้วย
ขณะเดียว การได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณที่ “ลดน้อยลง” จากอดีตสหภาพโซเวียต ที่ในช่วงเวลานั้นใกล้ล่มสลาย ยังทำให้เวียดนาม ประสบปัญหาเรื่องการดูแลสวัสดิการกำลังพล ที่ยังคงประจำการในกองทัพด้วย ดังจะเห็นได้จากการที่กำลังพลส่วนใหญ่ที่กลับจากกัมพูชา ถูกปลดประจำการภายใน 4 วัน ทันทีที่เดินทางกลับมาตุภูมิในฐานะวีรบุรุษ
กองทัพพระพุทธเจ้า :
มกราคม ปี 2012 “ฮุนเซน” ได้กล่าวสุนทรพจน์ ขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อรัฐบาลเวียดนาม และยกย่องกองกำลังทหารที่เข้ามายึดกรุงพนมเปญ จาก “เขมรแดง” ว่า “กองทัพพระพุทธเจ้า” (Buddhist Army) ในระหว่างเดินทางไปร่วมพิธีเปิดอนุสรณ์สถานกรมทหารราบที่ 125 ในจังหวัดด่งนาย ของ เวียดนาม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกใช้เป็นที่ฝึกทหารของ กองกำลังแนวร่วมกู้ชาติกัมพูชา (United Front for the National Salvation of Kampuchea) หรือ UNFSK ในอดีต
พร้อมกันนี้ “ผู้นำตลอดกาลของกัมพูชา” ยังได้กล่าวยอมรับด้วยว่า หากไร้ซึ่งความช่วยเหลือจากเวียดนามแล้ว ชาวกัมพูชาคงไม่สามารถรอดพ้นจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดง รวมถึงประเทศกัมพูชา คงไม่สามารถฟื้นตัว จากความย่อยยับในสงครามกลางเมืองด้วย
นอกจากนี้ ฮุนเซน ยังตอกย้ำอีกว่า การยึดกรุงพนมเปญของเวียดนามเป็นระยะเวลาถึง 10 ปี นั้น ไม่ถือเป็น “การรุกราน” เพราะหากตนเองไม่ไปร้องขอความช่วยเหลือจากเวียดนาม ก็คงไม่มีประเทศอื่นใด ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือชาวกัมพูชาอีกแล้ว
เนื่องจาก ฮุนเซน อ้างว่า แม้กระทั่ง องค์การสหประชาชาติ ในเวลานั้น ก็ยังให้การยอมรับ “รัฐบาลแนวร่วมกัมพูชาประชาธิปไตย” หรือ CGDK ที่มี เขมรแดงเข้าร่วม
เวียดนามสำคัญไฉน :
ส่วนหากถามว่า ปัจจุบัน เวียดนาม มีความสำคัญกับกัมพูชามากน้อยแค่ไหนนั้น?
ล่าสุด กรมศุลกากรของเวียดนาม รายงานว่า ในปี 2567 มูลค่าการค้าทวิภาคีระหว่าง เวียดนาม และ กัมพูชา มีตัวเลขรวม 10,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.2แสนล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้น 17.5% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 ขณะที่ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศ อยู่ที่มากกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.2แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 16.3% เมื่อเปรียบเทียบแบบปีต่อปี
ขณะที่การส่งออกของเวียดนามไปยังกัมพูชา อยู่ที่ 3,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 5.1% เมื่อเปรียบเทียบแบบปีต่อปี ส่วนการนำเข้าจากกัมพูชาอยู่ที่ 3,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.2แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 28.1% เมื่อเปรียบเทียบแบบปีต่อปี
ส่วนในด้านการลงุทนของเวียดนามในกัมพูชา นั้น ข้อมูลจากสื่อเวียดนามในปี 2024 ระบุว่า เวียดนามมีการลงทุนในประเทศกัมพูชามากกว่า 205 โครงการ ด้วยเงินทุนจดทะเบียนรวม 2,940 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (94,976ล้านบาท) ซึ่งถือเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีการลงทุนในกัมพูชามากที่สุด
ในขณะที่ รายงานจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ไทย ระบุว่า ปี 2567 การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา มีการค้ารวม 175,530 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 141,846 ล้านบาท การนำเข้ามูลค่า 32,684 ล้านบาท ทำให้ไทย ได้ดุลการค้า 109,163 ล้านบาท
ขณะที่ 7 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-ก.ค.) มีมูลค่าการค้ารวม 1,188,270 ล้านบาท (+11.0%) แยกเป็น การส่งออก 688,477 ล้านบาท (+10.7%) การนำเข้า 499,793 ล้านบาท (+11.3%) และไทยได้ดุลการค้า 188,683 ล้านบาท
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ จากบทความอันแสนยาวยืด “คุณ” มีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้าง?

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม :
ภาระผู้ลี้ภัยจากเพื่อนบ้าน น้ำใจไทยใยเขมรจึงลืมเลือน (ชมคลิป)
สำรวจวงจรเชื่อมผลประโยชน์ สายใยที่ยึดโยงตระกูลฮุน
สำรวจวีรเวร ที่ไม่ ใช่วีรกรรม BHQ องค์รักษ์ประจำตัว ฮุนเซน (ชมคลิป)
เรียนรู้ถึงตัวตนของฮุนเซน ผ่านการดิ้นรนเพื่อไปสู่อำนาจ (ชมคลิป)
ย้อนรอย จลาจลเผาสถานทูตไทย บทเรียนข่าวเท็จ กัมพูชา ปี2546 (ชมคลิป)
ย้อนสงครามไทย-กัมพูชา 2554 BM 21 VS ปืนใหญ่ “บิ๊กตู่” ลั่น อยากรบก็รบ! (ชมคลิป)
You might be intertested in this news.
Mostview
เตือน! พายุ “หนองฟ้า” จ่อถล่มเวียดนาม หลาย จว.ไทย เจอฝนหนัก 30-1 ก.ย.
พายุโซนร้อนหมายเลข 14 คาด 30 ส.ค.ขึ้นฝั่งเวียดนาม ทำให้ฝนตกหนักมาก วันที่ 31 เช้า ภาคอีสานตอนบน วันที่ 31 บ่ายภาคเหนือตอนกลางและตอนล่างถึง 1 ก.ย...
ภาระผู้ลี้ภัยจากเพื่อนบ้าน น้ำใจไทยใยเขมรจึงลืมเลือน (ชมคลิป)
ภาระผู้ลี้ภัยจากเพื่อนบ้าน น้ำใจไทยใยเขมรจึงลืมเลือน (ชมคลิป)
เปิดประวัติตู้แช่เวียดนาม การต่อสู้ที่อาจมาถึงจุดจบ (ชมคลิป)
เปิดประวัติตู้แช่เวียดนาม การต่อสู้ที่อาจมาถึงจุดจบ (ชมคลิป)
5 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (28ส.ค.2025)
5 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (28ส.ค.2025)
7 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (29ส.ค.2025)
7 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (29ส.ค.2025)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
