สำรวจ “นครดูไบ” ทำไมใครๆชอบไปกันจัง

“ดูไบ” มหานครแห่งความมั่งคั่ง ตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลก และโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับเมกะโปรเจค ในระดับที่เรียกได้ว่า แทบจะกลายเป็น “สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่” จนกระทั่ง กลายเป็นเมืองอันน่าโปรดปรานของ “เหล่าอภิมหาเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลก”

หากแต่ในอีกด้านหนึ่ง มหานครที่ถูกฉาบเคลือบไว้ด้วย ความหรูหรา ฟุ้งเฟ้อ จนแทบไร้ขีดจำกัดนี้ กลับมี “ด้านมืด” ที่ถูก “ซุกซ่อน” ไว้ได้อย่าง “มิดชิดและแนบเนียน” เช่นกัน

เหตุใด “เสน่ห์อันน่าเย้ายวนใจ” บรรดาอภิมหาเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ , ความมั่นคงทางการเมือง , เขตการค้าเสรี และ สารพัดสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี จึงมีความด่างพร้อย จาก “มุมมืด” ที่ดึงดูดเหล่าอาชญากร , นักธุรกิจสีเทา รวมไปจนกระทั่งถึง “นักการเมืองที่ทุจริตหนีคดี” ไปรวมตัวกันที่นั่นเพื่อหวัง นำทรัพย์สินที่ได้มาจากการ “คอร์รัปชัน” ไป “ฟอกเงิน” ให้ “ขาวสะอาด” กันด้วยนะ

วันนี้ “เรา” ได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเหล่านั้น มาให้ “คุณ” ได้ร่วมกัน “พิจารณา” แล้ว

ดูไบนครมหาเศรษฐี :

อ้างอิงจาก รายงานด้านการย้ายถิ่นฐานความมั่งคั่งและการลงทุน ปี 2025 (Henley Private Wealth Migration Report 2025) ของ บริษัทเฮนลีย์ แอนด์ พาร์ตเนอร์ส (Henley & Partners) ระบุว่า ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมี 2 นครใหญ่อย่าง ดูไบ และ
อาบูดาบี เป็นแหล่งดูดซับเงินจากบรรดานักลงทุน นั้น ปัจจุบัน เป็นที่พำนัก ของ บุคคลที่มีสินทรัพย์สุทธิสูง (High-net worth individuals) หรือ HNWI มากถึง 81,200 คน

โดยในจำนวนนี้ เป็น บุคคลที่มีทรัพย์สินสุทธิเกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป (Centi-millionaires) รวม 237 คน และ บุคคลที่มีทรัพย์สินสุทธิเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป (Billionaires) รวม 20 คน

และในปี 2025 นี้ “สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์” จะกลายเป็นจุดหมายปลายทาง ของ “เหล่าเศรษฐีใหม่” หลั่งไหลเข้าไปเพิ่มเติมอีกถึง 9,800 คน หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ย จะมีเศรษฐีใหม่หลั่งไหลเข้าประเทศ 1 คนต่อทุกๆ 1 ชั่วโมง

นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังระบุอีกด้วยว่า ในปี 2025 นี้ เงินทุนส่วนบุคคลมากกว่า 63,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2ล้านล้านบาท) จะหลั่งไหลเข้ามายังประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ในนครดูไบ , โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สุดหรูหรา และ อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ต่างๆ เพื่อหวังเปลี่ยนจากการลงทุนในตลาดโลกที่มีความผันผวน ไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัย และอยู่ภายใต้การดูแลที่มีความมั่นคงสูง  

แรงดึงดูดของดูไบ :

เพราะอะไร ดูไบ จึงเป็นนครที่ดึงดูดใจเหล่าเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลก?

คำตอบ คือ...

ข้อแรก : ภาษี

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งพลเมืองและชาวต่างชาติ = 0

ภาษีกำไรจากการขายสินทรัพย์ (Capital Gains) = 0

ภาษีมรดก (Inheritance TAX) = 0

ภาษีมูลค่าเพิ่ม = 5% (เริ่มบังคับใช้ เดือนมกราคมปี 2018)

ภาษีอสังหาริมทรัพย์ = 4% ของราคาซื้ออสังหาริมทรัพย์ (จ่ายครั้งเดียวตอนซื้อเท่านั้น)

ภาษีเงินได้นิติบุคคล = ขั้นต่ำ 9% สำหรับบริษัทที่มีกำไรเกิน 375,000 ดีแรห์ม (Dirhams) หรือ ประมาณ 3.2 ล้านบาท (เพิ่งเริ่มบังคับใช้ เดือนมิถุนายน ปี 2023)

ข้อสอง : Golden Visa

Golden Visa ที่สามารถพำนักในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้ยาวนานตั้งแต่ 5 - 10 ปี สำหรับอาชีพพิเศษ เช่น หมอ หรือ นักวิทยาศาสตร์

ส่วนในกรณี “นักลงทุน” นั้น จะต้องเป็นผู้ที่ลงทุนในกองทุน หรือ จัดตั้งกิจการ หรือ มีหุ้นส่วนในกิจการ ที่มีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 2 ล้านดีแรห์ม (Dirhams) หรือ ประมาณ 17 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี เงื่อนไขที่สะดวกสบาย และน่าจะเย้ายวนใจมากที่สุด สำหรับเหล่านักลงทุน ที่ต้องการ Golden Visa ก็คือ “การลงทุนด้วยการซื้อสังหาริมทรัพย์” ที่มีมูลค่าขั้นต่ำ 2 ล้านดีแรห์ม (Dirhams) หรือ ประมาณ 17 ล้านบาท

อ้างอิง จากเว็ปไซต์ทางการของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

จุดอ่อนของดูไบ :

การวางตำแหน่งของ “ดูไบ” ให้กลายเป็น “นครที่ดูดซับเงินทุนจากทั่วโลก” ผ่านนโยบายที่เอื้อต่อเม็ดเงินลงทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กฎหมายที่ทำให้การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เป็นเรื่องง่าย รวมถึงยังมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีในรูปแบบต่างๆ นั้น แม้ในด้านหนึ่งจะชักชวนให้บรรดามหาเศรษฐีทั่วโลก ต่างแห่นำเงินมาลงทุนที่นครแห่งความมั่งคั่งนี้ได้ก็ตาม

หากแต่ในอีกด้านหนึ่ง “เงื่อนไขที่สุดผ่อนปรนเหล่านี้” ได้ทำให้ บรรดาอาชญากร , นักธุรกิจ และนักการเมืองส่วนหนึ่ง แอบนำเงินที่ได้จากการ “คอร์รัปชัน” มายัง “สวรรค์แห่งใหม่” สำหรับการฟอกเงินให้ขาวสะอาด ด้วยเช่นกัน

โดยหากอ้างอิงจากรายงาน ของ เครือข่ายผู้สื่อข่าวด้านองค์กรอาชญากรรมและการทุจริต (The Organized Crime and Corruption Reporting Project) หรือ OCCRP เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2024 ระบุว่า ได้ตรวจพบทั้ง พ่อค้ายาเสพติด , นักธุรกิจ , อาชญากร และอดีตนักการเมือง ที่พัวพันกับคดีฉ้อโกงและฟอกเงิน ที่กำลังหลบหนีคดีจากทั่วทุกมุมโลก มีชื่อเป็น เจ้าของอสังหาริมทรัพย์สุดหรูหราราคาแพง ใน นครดูไบ จำนวนมาก!

นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังระบุอีกด้วยว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “ดูไบ” เริ่มกลายเป็นสวรรค์แห่งใหม่สำหรับการฟอกเงินรองจาก “นครนิวยอร์กและกรุงลอนดอน” ที่ครองแชมป์มาอย่างยาวนานนั้น ก็เป็นเพราะ…

“การตอบสนองที่ไม่สอดคล้อง กับการร้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานระหว่างประเทศในการจับกุมคนร้ายและการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ของ รัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์”

เพราะแม้แต่ในกรณี ที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ก็ไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะปฏิบัติตามสนธิสัญญาดังกล่าวอย่างเคร่งครัดแต่อย่างใด นั่นเป็นเพราะ “อาชญากร” เหล่านั้น ดูเหมือนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งสำหรับ “เบี้ย” ที่ถูกใช้ในการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลของประเทศ ที่ต้องการตัวอาชญากรเหล่านั้นเสมอ

ทำให้หากรัฐบาลใด “สามารถยื่นข้อเสนอ” ที่ตอบสนองต่อความต้องการของได้ “ข้อตกลงสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน” จึงจะมีผลบังคับใช้

ดูไบกับความลับ :

อ้างอิงจากรายงานของ Tax Justice Network องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่เน้นการตรวจสอบการหลีกเลี่ยงภาษี ในปี 2024 ได้จัดอันดับให้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อยู่ในลำดับที่ 8 ของประเทศที่มี “ความลับทางการเงิน”

โดยมีปัจจัยสำคัญมาจาก “คณะผู้ช่วยเหลือระดับมืออาชีพ” ที่ประกอบไปด้วย ทนายความ นายธนาคาร และผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่เชี่ยวชาญเรื่องข้อกฎหมายระหว่างประเทศ และการทำธุรกรรมซ่อนเร้น ที่ทำงานให้กับ “กลุ่มลูกค้าสีเทาผู้มั่งคั่ง” ทั้งหลาย

ขณะเดียวกัน บรรดาผู้แทนอสังหาริมทรัพย์ ยังมีกระบวนการตรวจสอบ เรื่องที่ไปที่มาของ “เงินทุน” ของ “กลุ่มคนที่มีความเสี่ยง” ซึ่งนำเงินก้อนโตมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สุดหรูหรา “เพียงเล็กน้อยพอเป็นพิธี”

ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นการซื้อด้วย “เงินสด” ข้อสงสัยต่างๆ ก็จะยิ่งถูกทำให้ “เงียบสงัด”ลงมากกว่าเก่า จนกระทั่ง อสังหาริมทรัพย์เหล่านั้น ถูกนำออกขายและเปลี่ยนเป็นเงินที่ใสสะอาด กลับคืนสู่บัญชีของผู้ซื้ออีกครั้ง ได้สำเร็จ  

อย่างไรก็ดี หลังรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถูกกดดันอย่างหนักจากชาติตะวันตก จากกรณีถูกขึ้น “บัญชีกลุ่มประเทศสีเทา” (Gray List) โดย คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (Financial Action Task Force) หรือ FATF จากความล้มเหลวในการต่อสู้กับกระแสเงินผิดกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพในปี 2022 จนกระทั่งนำไปสู่ การปฏิรูปกฎหมาย และ การล็อบบี้อย่างหนัก และทำให้ “รัฐอ่าวผู้มั่งคั่งแห่งนี้” หลุดพ้นจาก “บัญชีสีเทา” ได้สำเร็จในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2024

หากแต่ รายงานของ Tax Justice Network ได้ตั้งข้อสังเกตในประเด็นนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า...

แม้ ในช่วงต้นปี 2024 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะแถลงว่า ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา บรรดาผู้แทนอสังหาริมทรัพย์ , นายหน้า จะเพิ่มรายงาน การพบธุรกรรมที่น่าสงสัย จนกระทั่งนำไปสู่ “ค่าปรับ” ที่ถูกเรียกเก็บจากหน่วยงานที่กำกับดูแล ได้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า  

หากแต่รายงานของ รัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อธันวาคมปี 2023 กลับแสดงให้เห็นว่า รายงานธุรกรรมที่น่าสงสัย จาก บรรดาผู้แทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ในช่วงครึ่งหลังปี 2020 และครึ่งแรกของปี 2023 นั้น คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.002% ของมูลค่าการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดในปี 2022 เพียงปีเดียวเท่านั้น

จากข้ออ้างที่ว่า “กฎระเบียบใหม่” ยังคงบังคับใช้เฉพาะกับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ “การทำธุรกรรมเช่าซื้อ” ยังเป็น “ข้อยกเว้น”

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ จากบทความอันแสนยาวยืด “คุณ” มีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้าง?

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม :

ตำนานโคตรโกง7,000ล้านเยน กลลวงยักษ์ใหญ่ซื้อที่ดินสุดเนียน (ชมคลิป)

รักเวียดนามชิงชังไทย เหตุใดเขมรจึงลำเอียง (ชมคลิป)

ภาระผู้ลี้ภัยจากเพื่อนบ้าน น้ำใจไทยใยเขมรจึงลืมเลือน (ชมคลิป)

สำรวจวงจรเชื่อมผลประโยชน์ สายใยที่ยึดโยงตระกูลฮุน

สำรวจวีรเวร ที่ไม่ ใช่วีรกรรม BHQ องค์รักษ์ประจำตัว ฮุนเซน (ชมคลิป)

เรียนรู้ถึงตัวตนของฮุนเซน ผ่านการดิ้นรนเพื่อไปสู่อำนาจ (ชมคลิป)

ย้อนสงครามไทย-กัมพูชา 2554 BM 21 VS ปืนใหญ่ “บิ๊กตู่” ลั่น อยากรบก็รบ! (ชมคลิป)