วันศุกร์, ตุลาคม 3, 2568

“พระยาละแวก” ที่มา เขมรไว้ใจไม่ได้ กับความแค้นสมเด็จพระนเรศวร

by Trust News, 3 ตุลาคม 2568

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ไม่ยอมรับก็ต้องยอมรับ ว่าเขมร หรือ กัมพูชา ในยุค สมเด็จฮุนเซน และ เทือกเขาเหล่ากอ นั้น คบไม่ได้ และที่ผ่านมา มักสร้างข่าวเท็จ กล่าวหาไทย ต่างๆ นานา

ทั้งที่ หากย้อนดูประวัติศาสตร์ ใกล้ๆ ช่วง 60-70 ปี ที่ผ่านมา “ไทย” คือ ผู้มีพระคุณของเขมร

มีคุณูปการมากมาย ให้ที่อยู่ ตอนหนีภัยสงคราม ให้ที่กิน อดอยากก็หาข้าวมาให้ หรือแม้แต่ เงินทอง รัฐบาลไทย ก็ให้การช่วยเหลือ

และเมื่อไม่กี่วันนี้ อันนี้จริงหรือไม่ก็แน่ชัด ว่า “เขมร” เจอน้ำท่วม บอกไทย “แล้งน้ำใจ” ไม่ช่วย เสียอีก ก็ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป แบบนี้ใครจะอยากช่วย 

แล้วที่ผ่านมา ก็ปากดี บอก don't thai to me แต่คนไทย ช่วยมึงไม่รู้เท่าไหร่ มา don't thai to me หาพระแสง ขอ ง้าวเหรอ..

เอาเถอะ ในเมื่อ ชอบขุดประวัติศาสตร์ ฉะนั้น วันนี้ ผมก็ขอเล่าประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับ “พระยาละแวก” ให้ฟังแล้วกัน

ข้อมูลนี้ เอามาจากหนังสือ “เขมรรบไทย” ว่าด้วยเรื่อง “พระยาละแวก” ซึ่งไม่ได้หมายถึงคน ๆ เดียว แต่เป็นการเรียกแบบ “เหมารวม” พระยาที่มาจาก “ละแวก”

ประเด็นของ พระยาละแวก นั้น เป็นยุคหลังรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พระเทียรราชา) และ รัชกาลสมเด็จพระมหินทรราชาธิราช สมเด็จพระมหาธรรมราชา ได้เสวยราชสมบัติกรุงศรีอยุธยา เวลานั้น กรุงศรีอยุธยา ต้องตกเป็นประเทศราชของกรงหงสาวดีอยู่ถึง 15 ปี

เป็นช่วงที่กรุงศรีฯ ไม่มีเสถียรภาพทางทั้งทางการเมืองและการทหาร ดังนั้น ไพร่พลส่วนใหญ่ จึงถูกกวาดต้อนไปหงสาวดี

เมื่อกัมพูชา ทราบกว่ากรุงศรีฯ อ่อนแอ กษัตริย์กัมพูชา เวลานั้น อาศัยอยู่ที่ “เมืองละแวก” จึงยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาหลายครั้ง

เหตุที่เมืองหลวงของกัมพูชา ตั้งอยู่ที่ เมืองละแวก พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา จึงมักเรียก “กษัตริย์กัมพูชา” ว่า “พระยาละแวก” โดยไม่ได้ระบุถึง “กษัตริย์” กัมพูชาองค์ใดองค์หนึ่ง และกษัตริย์เขมรก็มีหลายคน ซึ่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ได้กล่าวถึง “พระยาละแวก” หลายครั้งหลายหน

พระยาละแวก ตีกรุงศรีฯ ครั้งแรก พ.ศ.2113

สงครามครั้งนี้ เกิดในสมัยพระธรรมราชา หลังเสียกรุงฯ เพียง 1 ปี ให้กับพระเจ้าบุเรงนอง

ตรงกับสมัยพระบรมราชาที่ 3 ของกัมพูชา (พ.ศ.2109-2114)

เวลานั้น เมืองหลวงกัมพูชา อยู่ที่เมืองละแวก จึงเรียกกษัตริย์กัมพูชาว่า พระยาละแวก

“ศักราช 932 มะเมียศก พระยาละแวก ยกพลมายังพระนครศรีอยุธยา พระยาละแวกยืนช้าง ตำบลสามพิหาร แต่ได้รบพุ่งกัน แลชาวในเมืองพระนครยิงปืนออกไปต้องพระยาจำปาธิราชตายกับคอช้าง ครั้งนั้น พระยาละแวกเลิกทัพกลับคืนไป”

อีกพงศาวดารหนึ่ง ฉบับ สมเด็จพระพนรัตน์ ระบุถึงสงครามนี้ว่า ลุจุลศักราช 919 ปีมเสง นพศก เดือนญี่ พระยาละแวก ยกช้างม้า รี้พลมาทางเมืองนครนายก และไพรพลพระยาละแวกมาครานั้น ประมาณ 3 หมื่น

ซึ่งในพงศาวดารนั้น ใช้คำค่อนข้างเข้าใจยาก จึงขอสรุปให้เข้าใจง่ายๆ ว่า หลังจากรู้ ว่าพระยาละแวก ยกทัพมา พระยาหัวเมืองมุขมนตรี จึงนำเรื่องทูนถึงพระเจ้าอยู่หัว และได้หารือกับเจ้าพระยานครบาล

ซึ่งพระเจ้าพระยานครบาล ได้ประเมินว่า กรุงเทพพระมหานครไซ้ นั้นมีกำลังรบยังบอบบาง ปืนใหญ่ ดินประสิว ก็ถูกพระเจ้าหงษาวดีเอาไปมาก

กำลังตั้งรับจึงไม่มีมาก จึงได้ขอเชิญเสด็จหลบหนีไปเมืองพิษณุโลก ด้วยทางเรือ

แต่ขุนเทพอรชุน มองว่า พระยาละแวก บุกครั้งนี้ น่าจะไม่ใช่ศึกใหญ่ อยากให้พระเจ้าอยู่หัว อยู่สู้ เพราะหากจะด่วนทิ้งพระนคร อาจถูกพระเจ้าหงษาวดีติเตียนได้ แต่ก็ได้ให้จัดเตรียมเรือพระที่นั่งไว้

อย่างไรก็ตาม เมื่อพระยาละแวกยกทัพเข้ามา ก็ตั้งอยู่วัดสามพิหาร จากนั้น ข้าศึกก็ยกพลมาถึง วัดโรงฆ้อง และวัดกุฎีทอง แล้วเอาช้างมายืนในวัดพระเมรุราชิการาม ประมาณ 30 ช้างพล ประมาณ 4 พัน

ขณะที่สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จ ไปนืนพระราชยาน และให้พลทหารขึ้นรบพุ่ง ข้าศึกก็พ่ายออกไป จึงตรัสให้ยิงปืนจรดเอาช้างข้าศึก ซึ่งยืนอยู่ในวัดสามพิหารนั้น โดนพระยาจำปาธิราช ซึ่งเป็นกองหน้า ตายกับคอช้าง

จากนั้น พระยาละแวก ก็ล่าถอยทัพกลับไป แต่ก็ได้กวาดต้อน เอาครัวตำบลล้านนา แลเมืองนครนายก ไปเมืองละแวก

อย่างไรก็ตาม ในส่วนเอกสารของกัมพูชา ก็มีบันทึกเอาไว้เช่นเดียวกัน เช่น พงศาวดารเขมร จ.ศ.1171 และพงศาวดารกรุงกัมพูชา แต่กล่าวว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 แห่งกัมพูชา (พระบิดานักพระสัฏฐา) ยกทัพไปตีนครราชาีมา แต่ไม่ได้มากรุงศรีอยุธยา ...

สงครามครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า กัมพูชา ตีกรุงศรีอยุธยา ไม่สำเร็จ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงปัญหาในระบบการป้องกัน เพราะ พระยาละแวก ได้ยกทัพทางบก ซึ่งต้องผ่านหัวเมืองต่างๆ หลายเมือง เช่น เมืองนครราชสีมา ลพบุรี กว่าจะถึงอยุธยา

การที่ทัพพระยาละแวกสามารถผ่านหัวเมืองสำคัญเหล่านี้มาจนถึงพระนครได้ จึงสะท้อน “ความไร้เสถียรภาพ” ในการควบคุมไพร่พลที่จะนำมาใช้ในสงคราม รวมถึงการสูญเสียไพร่พลแก่พม่าในปี 2112 นั่นเอง

พระยาละแวก ตีกรุงศรีฯ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปี 2118

สงครามนี้ สืบเนื่องจากครั้งก่อน กล่าวคือ ครั้นถึงปี พ.ศ. 2118 พระยาละแวก ก็คือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 ได้ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา

แต่ในครั้งนี้ ใช้ “ยุทธนาวี” คือ ใช้กองทัพเรือ ดังปรากฎหลักฐานในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ว่า…

ศักราช 937 กุนศก หรือ ปี พ.ศ. 2118 พระยาละแวก ยกทัพเรือ มายังพระนครศรีอยุธยา ชาวเมืองละแวกตั้งทัพเรือที่ตำบลแนงเชิง แลได้รบพุ่งกัน ครั้งนั้น ศึกละแวก ต้านมิได้เลิกทัพกลับไป และจับเอาคน ณ. เมืองปักใต้ไปครั้งนั้นมาก

พงศาวดาร ระบุว่า สงครามนี้เกิดขึ้น เมื่อ จ.ศ.921 เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวยังอยู่ในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระยาละแวก ยกทัพเรือเข้ามาทางปากน้ำพระประแดง เมืองธนบุรี เมืองนนทบุรี ขนอนบางตะนาวศรี แล้วยกมายังกรุงศรีอยุธยา

โดยในตัวเอกสาร เขียนสรุปไว้ว่า เมื่อทราบข่าวว่า “พระยาละแวก” จะบุก ทางทัพเรือ จึงมีคำสั่งให้เจ้าเมืองในธนบุรี และกรมทั้งหลายเตรียมการป้องกันเมือง แต่พระยาละแวก ก็ยกทัพมาตั้งในปากน้ำพระประแดง และมีการจับชาวเมืองธนบุรี นนทบูรี ไปเป็นเชลย

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตรัส ให้เอาเมืองยโสธรราชธานี เป็นนายกอง จัดขุดหมื่นทั้งหลาย ทหารสองพันนาย และอาวุธต่างๆ บรรจุลงเรือไล่ 20 ลำ ให้ลงไปถึงเมืองนนทบุรี ก็พบเรือข้าศึก

ทัพหลวง ได้ต่อสู้กับทัพละแวก แต่ก็พ่ายแพ้ และสูญเสีย “หมื่นราชามาตย์​“

จากนั้น พระยาละแวก ก็ให้จับคนทั่วเมืองธนบุรี แล้วยกทัพมาที่พระนคร มาตั้งที่ ขนอนบางตนาว

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตรัสให้ท้าวหญ้า ทั้งหลาย ตรวจจัดพลทหารขึ้นกำแพงพระนคร พระยาละแวก ก็ยกทัพเรือขึ้นมาเข้าแฝงข้างวัด พระผะแนงเชิง ให้แต่เรืออันเป็นทัพหน้าประมาณ 30 ลำ เข้ามาจะปล้น ณ ตำบลนายก่าย

ขณะนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จอยู่ที่หอราชคฤหห์ตรงเกาะแก้ว โดยมีท้าว และเสนาบดี ร่วมประชุมกัน

ครั้นเรือข้าศึกเกือบเข้ามา จึงวางปืนใหญ่ ณ ป้อมนายก่าย ยิงใส่ข้าศึกตายจำนวนมาก ข้าศึกทั้งปวง พ่ายแพ้

พระยาละแวก เห็นจะปล้นพระนครไม่ได้ ก็เลิกทัพ กลับไปตั้งอยู่ที่ ปากน้ำพระประแดง แล้วก็แต่งให้ขึ้นไปลาดจับคนถึงสาครบุรี ได้ขุนหมื่นกรมการ และไพร่ชายหญิง อพยพมาเป็นอันมาก

จึงให้เอารูปเทพารักษ์สำฤทธทั้งสององค์ชื่อ พระยาแสนตา และ บาทสังขกร อันมีศักดานุภาพ ซึ่งอยู่ ณ เมืองพระประแดง อันขุดได้แต่ครั้ง สมเด็จพระรามาธิบดีนั้นไปด้วย “พระยาละแวก” ก็หลีกทัพกลับเมือง…

ซึ่งสงครามนี้ มีบันทึกในพงศาวดารของกัมพูชาด้วย ซึ่งมีเนื้อหาคล้ายกัน

นอกจากพระนครแล้ว ยังมีพงศาวดาร กล่าวถึง “พระยาละแวก” ในการยกทัพบุกเมืองเพชรบุรีด้วยในปี 2121 ในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา ซึ่งตรงกับสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 นักพระสัฏฐา (นักพระสัตถา) กษัตริย์ผู้ครองละแวก

โดยพระยาละแวก แต่งตั้งให้พระยาอุเทษราชาและพระยาจีนจันตุ นำทัพมา 30,000 คน มาตีเมืองเพชรบุรี โดยมี พระยาสิรินทรฤาไชย เจ้าเมือง ป้องกันการบุก และปล้นสะดมของ พระยาอุเทษราชา ได้ 3 วัน ทำให้ฝ่ายละแวก เสียไพร่พล จำนวนมาก จึงถอยกลับ

แต่... พระยาจีนจันตุ ได้ให้ทานบน (สัญญา) กับพระยาละแวก ว่าต้องเอาเมืองเพชรบุรี ให้ได้ จึงรู้สึกกลัวความผิด จึงจะเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อพระนครศรีอยุธยา ต่อมาจึงขึ้นเรือสำเภาหนีกลับกรุงละแวก “สมเด็จพระนเรศวร” ทรงพยายามจับตัวพระยาจีนจันตุ แต่หลบหนีกลับกัมพูชา ไปได้

ซึ่งเหตุการณ์นี้ ถูกบันทึกในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ซึ่งมีเนื้อหาคล้ายกับ พงศาวดารสมเด็จพระพนรัตน์

ตอนขอเข้าสวามิภักดิ์ พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาแก่พระยาจีนจันตุ แต่สุดท้าย พระยาจีนจันตุ ก็ลงเรือหนี ในวันอาทิตย์ เดือนยี่ ขึ้น 4 ค่ำ ปีระกา ตรีณิศก เพลาค่ำประมาณ 2 นาฬิกา

ขณะนั้น สมเด็จพระนเรศวร เสด็จมาเมืองพระพิษณุโลก และพยายามยกทัพไล่ตามเรือพระยาจีนจันตุ โดยได้มีการต่อสู้กัน และจะให้พลทหารปีนสำเภาขึ้น และมีการยิงต่อสู้กัน พระยาจีนจันตุ พยายามโล้สำเภาหนีจนพ้นปากน้ำตกฦก ขณะที่ เรือของสมเด็จพระนเรศวร พยายามติดตาม ไปถึงเมืองพระประแดง ก่อนจะเสด็จกลับมายังพระนคร

สงครามครั้งนี้ไม่ปรากฎหลักฐานในพงศาวดารของกัมพูชา...



พระยาละแวก ตีเมืองเพชรบุรี ครั้งที่ 2

หลังจากตีเมืองเพชร ไม่สำเร็จ ในครั้งแรก ครั้นถึงปี 2124 พระยาละแวก หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 นักพระสัฏฐา ได้ยกทัพมาตีเมืองเพชรบุรีอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ทำสำเร็จ ดังพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ว่า

ศักราช 943 มะเส็งศก หรือ พ.ศ. 2124 อนึ่งในเดือน 3 นั้น พระยาละแวก ยกพลมาเมืองเพชรบุรี ครั้งนั้น เสียเมืองเพชรบุรี แก่พระยาละแวก

พระยาละแวก ยกทัพเรือ มีพล 70,000 มาตีเมืองเพชรบุรี สมเด็จพระมหาธรรมราชา ให้เจ้าเมืองยโสธรธานี และเจ้าเมืองเทพธานีไปช่วย พระยาศรีสุรินทรฤาไชย เจ้าเมืองเพชรบุรี รบศึกครั้งนั้น เจ้าเมืองทั้ง 3 เสียชีวิตในการรบ พระยาละแวกกวาดต้อนคนกลับไป

โดยในพงศาวดาร ระบุว่า ขณะนั้น เจ้าเมืองทั้งสาม มิได้สมัครสมานกัน ต่างคนต่างบังคับบัญชา แลอยู่ป้องกันแต่หน้าที่ซึ่งได้เป็นพนักงานรักษา มิได้พร้อมมูนคิดอ่านด้วยกัน

ครั้นถึงวันแปดค่ำ พระยาละแวกเข้าปล้น ตำบลคลองกระแชงแลประตูบางจาน ชาวเมืองพยายามต้าน แต่ข้าศึกได้เผาหอรบทลายแล้วปีนกำแพงเข้ามาได้ ก็เสียเมืองเพชรบุรี แก่พระยาละแวก

จากหลักฐาน การตีเมืองเพชรบุรี ครั้งที่ 2 ของพระยาละแวก ตามหลักฐานของเขมร ระบุว่า เป็นสมัย สมเด็จพระปรมินราชา หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 แห่งกรุงละแวก ซึ่งเป็ํนพระบิดาของ นักพระสัฏฐา

พระยาละแวก ตีปลายด่านตะวันออก พ.ศ.2125

ต่อมาพระยาละแวก (นักพระสัฏฐา) จัดทัพมาจับคนบริเวณชายแดนตะวันออก โดยพงศาวดาร ฉบับ หลวงประเสิรฐนิติ์ ระบุว่า

ศักราช 944 ทะเมียศก (พ.ศ. 2125)

พระยาละแวก แต่งตั้งให้ พระทศราชา และ พระสุนทราชา ยกทัพ มา 5,000 คน มาหัวเมืองตะวันออก

แต่สมเด็จพระนเรศวร ทราบข่าว จึงให้ช้าง ม้าเร็ว พร้อมทหารอีก 3,000 คน และให้เมืองไชยบุรี เอาพลมาอีก 500 เป็นทัพหน้า ไปสมทบที่ เมืองศรีถมอรัตน์ และมีการสุ่มโจมตี กองทัพละแวก ก่อนทัพละแวก จะยกทักกลับ

ทั้งนี้ หลังมีการโจมตีเมืองเพชรบุรีใน ปี พ.ศ.2125 พระยาละแวก ก็ส่งพระราชสาส์น มาขอเป็นมิตรไมตรี และขอปักปันเขตแดนระหว่างอยุธยากับกรุงกัมพูชา

บริเวณที่มีการปักปันเชตแดน ภายหลังมีชื่อเรียกว่า “ด่านพระจารึก” และเป็นด่านสำคัญจนถึงสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น

พระยาละแวก แปรพักตร์ ...?

หลังจากทำสนธิสัญญา เป็นพระราชไมตรี กันแล้ว เมื่อมีสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับหงสาวดี นักพระสัฏฐา พระยาละแวก จึงให้พระศรีสุพรรณมาธิราช ซึ่งเป็นพระอนุชา นำทัพเมืองละแวกมาช่วย

แต่สาเหตุที่เกิดการแปรพักตร์กันขึ้น ในพงศาวดาร ระบุว่า หลังจากเป็นมิตรกันแล้ว พระยาละแวก ได้ส่ง พระอนุชา หรือ น้องชาย ก็คือ พระศรีสุพรรณมาธิราช นำไพร่พล 1 หมื่นคน ช้างเครื่องร้อยหนึ่ง และ ม้าสามร้อย ยกมาช่วยที่ด่านเมืองปราจินบุรี

อย่างไรก็ตาม หลังเสร็จสงคราม สมเด็จพระนเรศวร ไม่พอพระทัย ท่าทีของ พระศรีสุพรรณมาธิราช จึงโปรดเกล้าให้ตัดหัวเชลย ชาวลาว เสียบไว้ที่เรือพระศรีสุพรรณมาธิราช ทำให้ น้องชายพระยาละแวก ไม่พอใจ

สาเหตุ เพราะ เมื่อ วันศุกร์ เดือน 5 แรม 10 ค่ำ กองทัพซึ่งไปตามพระเจ้าเชียงใหม่กลับมาถึง สมเด็จพระนเรศวร แลพระอนุชา ก็เลิกทัพ เสด็จกลับมาทางน้ำ และเมื่อถึงที่โพสามต้น เห็นพระศรีสุพรรณมาธิราชกับเรือนายทัพนายกองเขมรทั้งปวงจอดเรืออยู่ ณ ฝากตะวันตก แต่พระศรีสุพรรณฯ นั้น ถือตัวเป็นเจ้าผู้ใหญ่ มิได้หมอบนั่งดูเสด็จอยู่ ก็ทรงพิโรธ

จึงออกคำสั่งให้ตัดหัวเชลยชาวลาว เสียบไว้ที่เรือตรงพระศรีสุพรรณฯ จากนั้น พระนเรศวร ก็เสด็จเข้าพระนคร

จากเหตุการณ์นี้ พระศรีสุพรรณฯ น้องชายพระยาละแวก ก็แค้น กลับเมืองไปกราบทูล ว่า ไปช่วยทำสงครามที่อยุธยา กลับได้รับความอัปยศ ถูกพระนเรศวรดูหมิ่นหยาบช้า

พระยาละแวก จึงตรัสว่า “เราก็เป็นกษัตริย์ เขาก็เป็นกษัตริย์ มาดูหมิ่นกันดั่งนี้ ไหน กรุงกัมพูชาบดี กรุงศรีอยุธยา จะเป็นทางพระราชไมตรีกันสืบไปได้ คอยหาโอกาสกลับคืนเป็นปัจจามิตร หรือ ศัตรูต่อไป"

เหตุการณ์นี้ ไม่ปรากฎในพงศาวดารกัมพูชาบางฉบับ เช่น พงศาวดารเขมร จ.ศ.1217 แต่ปรากฎในพงศาวดาร ฉบับชำระใหม่ ในรัชกาลสมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร เป็นต้นมา

พระยาละแวก ตีกรุงศรี ครั้งที่ 3

เหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดในปี 2130 หรือ จ.ศ.925

โดยระหว่างที่ทัพกรุงศรีอยุธยา ติดพันศึกกับ หงสาวดี ข่าวเรื่องนี้ก็ไปถึงกรุงกัมพูชา พระยาละแวก ก็ดีใจ สั่งกำลังทหารหมื่นนายเข้าตีหัวเมืองตะวันออก และตีเมืองปราจีนบุรีจนแตก

พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทรงโกรธ ที่่ละแวก เป็น ปัจจามิตร สมเด็จพระนเรศวร จึงกราบทูลว่า

“พระยาละแวกมิได้ตั้งอยู่ในสัตยานุสัตย์ปราศจากวิจารณญาณ ฟังคำน้องชายให้เสียพระราชไมตรี คอยแต่ซ้ำกันดังนี้ ความแค้นข้าพระบาทดั่งต้องปืนพิศม์ ขอให้พระยาศรีไสณรงค์ พระยาศรีราชเดโช กับพลทหาร 5,000 ยกไปตี”

สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็บัญชา... โดยยกกำลังไปถึงเมืองนครนายก

ช่วงวันพฤหัส เดือน 6 แรม 8 ค่ำ ครั้น ณ วันศุกร์ เดือน 6 แรม 9 ค่ำ ทัพเขมรก็ยกมาตีถึงเมืองนครนายก ทั้งสองทัพก็มีการต่อสู้กัน เนื่องจากกองทัพของเขมร รบทัพจับศึกมาก่อนหน้า ด้วยการเข้าตีเมืองปราจีนบุรี และมาเจอกับกองทัพไทย ที่ นครนายก อีก จึงทำให้ล้มป่วย เจ็บตาย เหลือเครื่องศาสตราวุธเป็นอันมาก

พระยาศรีไสณรงค์ บอกว่า กองทัพเขมร จะขอนำศาสตราวุธมาถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่พระเจ้าอยู่หัว บอกให้ พระยาทั้งสาม ไม่ต้องเลิก ให้อยู่รักษาเมืองแถบตะวันออก ก่อน

“ทัพหงษายังมิได้แตกฉาน จะไว้ใจพระยาละแวกมิได้”

ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ที่ไล่เรียงมา ก็พบว่า ในสมัยรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ได้มีสงครามระหว่างไทย-กัมพูชา หลายครั้ง และทั้งหมด เป็นสงคราม ที่กัมพูชา สามารถยกทัพมาถึงกรุงศรีอยุธยา หรือใน ราชอาณาเขต

ซึ่งแตกต่างจาก ก่อนหน้านี้ ที่กรุงศรีอยุธยา มักเป็นฝ่ายยกทัพออกไปตีกัมพูชา แสดงให้เห็นถึงสภาพความอ่อนแอของอาณาจักรอยุธยา ในสมัยนั้น

กระทั่งเมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จัดการปัญหาระหว่าง กรุงศรีอยุธยา เสร็จแล้ว จึงยกทัพไปปราบเมืองละแวก ในเวลาต่อมา....

อ่านบทความอื่นที่น่าสนใจ

ลงมือทำย่อมดีกว่าเอาแต่พูด! จุดกำเนิดความสำเร็จ Walkman (ชมคลิป)

แม้ไม่มีไทย เขมรก็อยู่ได้ สนามบินเตโชช่วยได้จริงหรือ? (ชมคลิป)

เจาะเบื้องลึก สนามบินเตโช ความภาคภูมิใจของกัมพูชา (ชมคลิป)

เบื้องหลังไฟปะทุGENZ ถ้าการเมือง เนปาล ดี? (ชมคลิป)


You might be intertested in this news.

Mostview

ลงมือทำย่อมดีกว่าเอาแต่พูด! จุดกำเนิดความสำเร็จ Walkman (ชมคลิป)

ลงมือทำย่อมดีกว่าเอาแต่พูด! จุดกำเนิดความสำเร็จ Walkman (ชมคลิป)

แผนฟื้นฟู Back to Starbucks เพราะจิตวิญญาณคือกาแฟ (ชมคลิป)

แผนฟื้นฟู Back to Starbucks เพราะจิตวิญญาณคือกาแฟ (ชมคลิป)

แนวโน้มราคาทองคําวันนี้(1ต.ค.68) เก็งกําไรระยะสั้น

แนวโน้มราคาทองคําวันนี้(1ต.ค.68) เก็งกําไรระยะสั้น

แนวโน้มราคาทองคําวันนี้(30ก.ย.68) เก็งกําไรระยะสั้น

แนวโน้มราคาทองคําวันนี้(30ก.ย.68) เก็งกําไรระยะสั้น

8 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (3ต.ค.2025)


8 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (3ต.ค.2025)


TrustNEws Line