วันจันทร์, มิถุนายน 23, 2568

เรียนรู้ถึงตัวตนของฮุนเซน ผ่านการดิ้นรนเพื่อไปสู่อำนาจ

by Trust News, 23 มิถุนายน 2568

เรียนรู้ถึงตัวตนของฮุนเซน ผ่านการดิ้นรนเพื่อไปสู่อำนาจ

เป็นที่ยอมรับกันดีว่า “เหลี่ยมคูทางการเมืองอันเชี่ยวกราก” ของ "สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน" นายกรัฐมนตรีตลอดกาลของกัมพูชา ซึ่งล่าสุด ได้ฝังลงใส่ “ตระกูลชินวัตร” ชนิด “จมเขี้ยว” และนำไปสู่แรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ กับ “การเมืองไทย” ณ เวลานี้ ถูกสั่งสมมาจาก “การดิ้นรนสู่อำนาจ” จากเบื้องล่างจนถึงจุดสูงสุด ก่อนจะนำไปสู่การครองอำนาจอันยาวนาน จนแทบเป็น “นิรันดร์”

แต่ละย่างก้าวสู่อำนาจ จากปลายกระบอกปืน ของ “สมเด็จฯฮุนเซน” ที่กินระยะเวลามากกว่า 30 ปี และครั้งหนึ่ง เคยได้รับบาดเจ็บสาหัส จากการถูกยิงเข้าที่หน้าผากจนสูญเสียตาข้างซ้าย กระทั่งเกือบเสียชีวิต นั้น  มีแง่มุมใดบ้าง ที่น่าสนใจ รวมถึง อาจพอเป็น “คำตอบ” ในเรื่องการพัฒนา “เหลี่ยมคูทางการเมือง” ที่กำลัง “รุกฆาต” เข้าใส่ “ตระกูลชินวัตร” อย่างดุเดือด ในเวลานี้ได้บ้าง?

วันนี้ “เรา” จึงขอรวบรวมประเด็นที่น่าสนใจเหล่านั้น มาให้ “คุณ” ได้ร่วมกันพิจารณา…

เข้าร่วมเขมรแดง :

“กองทัพอเมริกันทิ้งระเบิดใส่ อำเภอมะเม็ต จังหวัดกำปงจาม ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผม ด้วยเหตุนี้ ผมซึ่งเป็นคนเชื้อสายเขมร จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเข้าร่วมขบวนการภาคประชาชน เพื่อต่อสู้กับการรุกรานจากภายนอก”

นั่นคือ ประโยคที่ “สมเด็จฯฮุนเซน” ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว เมื่อปี 1990 ถึงการตัดสินใจ “จับอาวุธ” และเข้าร่วมกับกองทัพเขมรแดง ต่อสู้กับระบบการปกครองของ “จอมพลลอน นอล” ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ จากสหรัฐอเมริกา เพื่อหวังใช้เป็นตัวแทนสกัดกั้น การแผ่ขยายอิทธิพล ของ ลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดย สมเด็จฯฮุนเซน ที่ในเวลานั้น มีอายุเพียง 18 ปี และได้เดินทางจากรุงพนมเปญกลับบ้านเกิด หลังเรียนจบระดับมัธยมปลาย ยอมรับด้วยว่า ในช่วงเวลานั้น “เขายังไม่เข้าใจมิติความซับซ้อนทางการเมืองได้อย่างถ่องแท้…”

เพราะสิ่งที่ เขารับรู้เพียงอย่างเดียวในเวลานั้น คือ “ระบอบ ลอน นอล” จะคงอยู่ได้ไม่นาน ในขณะที่ฝ่าย “เจ้านโรดม สีหนุ” ซึ่งถูก “จอมพลลอน นอล” รัฐประหาร จนสูญเสียอำนาจนั้น ส่วนตัวเขาเอง ก็ยังไม่รู้สึกมีความมั่นใจมากนัก

ความซับซ้อนทางการเมือง :

หลังเข้าร่วมกับกองทัพเขมรแดง สมเด็จฯฮุนเซน ซึ่งเคยได้รับมอบหมายเป็น “ผู้บังคับกองร้อยหน่วยรบพิเศษ” ที่ออกปฏิบัติการตามแนวรบแม่น้ำโขง ในช่วงต้นสงคราม นั้น เคยถูกไล่ล่าและลอบสังหารหลายต่อหลายครั้ง จากฝ่ายของ จอมพลลอน นอล

จนกระทั่ง ครั้งหนึ่งในช่วงปี 1974 ที่การต่อสู้ด้วยอาวุธยังคงดำเนินไปอย่างรุนแรงนั้น สมเด็จฯฮุนเซน ยอมรับว่า เคยมีความคิดที่ว่า หากตัดสินใจเข้าร่วมกับฝ่าย จอมพลลอน นอล ตั้งแต่แรก บางที เขาอาจขอลี้ภัยไปยังประเทศฝรั่งเศส เหมือนกับญาติคนหนึ่งของเขาไปแล้ว

ขณะเดียวกัน การใช้ชีวิตร่วมกับฝ่ายเขมรแดงเอง ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น นั่นเป็นเพราะ ตัวเขาเองและครอบครัว ถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐานเข้าไปอยู่ป่าลึก ที่อยู่นอกเขตอิทธิพลของ ฝ่าย “จอมพลลอน นอล” และไม่มีแม้โอกาส “สำหรับการหลบหนี”

ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากจะใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างยากลำบากแล้ว ภายใต้ระบอบเขมรแดง
ยังมักมีการกล่าวหาใส่ร้ายกันเองว่าเป็น “ไส้ศึกฝ่ายตรงข้าม” จนกระทั่งเพื่อนของเขาหลายต่อหลายคน ถูกจับกุมและทรมานจนเสียชีวิต

และแม้กระทั่งตัวเขาเอง ก็ยังเคยถูกเพื่อนคนหนึ่งหักหลัง ด้วยการกล่าวว่าเป็น “นายทหาร” ของ จอมพลลอน นอล ที่แอบแฝงตัวเข้ามาด้วย

เหตุการณ์ทุ่งสังหาร :

“ผมได้รับบาดเจ็บสาหัส สูญเสียตาซ้ายและเป็นอัมพาตบางส่วน หลังถูกยิงด้วยกระสุน เข้าทางหน้าผากด้านขวาทะลุออกทางตาซ้าย จนกระทั่งทำให้ผม ต้องนอนสลบด้วยอาการโคมา นานถึง 8 วัน”

สมเด็จฯฮุนเซน ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเมื่อปี 1990 ถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเกือบจบชีวิต ขณะปฏิบัติการทางการทหาร ซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าที่ “เขมรแดง”  ภายใต้การนำ ของ “พล พต” จะบุกยึด “กรุงพนมเปญ” ปิดฉากระบอบลอน นอล ในเดือนเมษายนปี 1975 เพียงไม่กี่วัน

ทั้งนี้ หลังเขมรแดงยึดกรุงพนมเปญสำเร็จ ได้มีคำสั่งให้ ประชาชนทุกคนอพยพออกจากกรุงพนมเปญ ภายใต้ข้ออ้างที่ว่า... “กองทัพอเมริกัน กำลังเตรียมส่งเครื่องบิน B-52 มาทิ้งระเบิดครั้งใหญ่ หลัง จอมพลลอน นอล พ่ายแพ้ อย่างไรก็ดี ทุกคนจะได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับ เมื่อทุกอย่างปลอดภัยแล้ว”

แต่ก็เป็นอย่างที่ “เรา” ได้รับทราบกัน นั่นเป็นเพราะ…สาเหตุอันแท้จริง ที่เขมรแดงให้ชาวกัมพูชา ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง อพยพออกจากกรุงพนมเปญ นั้น ก็เป็นเพราะ “เขมรแดง” ต้องการ “ปฏิวัติวัฒนธรรมใหม่ โดยการลบล้างรากเหง้าวัฒนธรรมเดิมให้สิ้นซาก เพื่อนำไปสู่ “ระบอบคอมมิวนิสต์เต็มรูปแบบ”

จนกระทั่ง นำไปสู่ “เหตุการณ์ทุ่งสังหาร” เข่นฆ่าเพื่อนร่วมชาติ “ที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นกลุ่มศักดินา นายทุน ปัญญาชน ชนกลุ่มน้อย หรือแม้แต่กระทั่ง พระภิกษุ” มากถึง 2 ล้านคน จาก ระบอบเขมรแดง ในอีกหลายปีต่อมา…

ภายใต้ข้ออ้างที่ว่า “ทุกคนต้องเท่ากันอย่างแท้จริง ดังนั้น จึงต้องไม่มีทั้งคนรวยและคนจนในประเทศกัมพูชา”

ด้วยเหตุนี้ “นายกรัฐมนตรีตลอดกาลของกัมพูชา” จึงอ้างว่า ตนเองไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ กับ โศกนาฏกรรมดังกล่าว อีกทั้ง หลังฟื้นจากอาการโคม่าได้ไม่นาน เขายังอ้างว่า ตัวเองได้รับคำสั่งให้นำกำลังพล ไปประจำการที่ชายแดนติดกับเวียดนามด้วย  

แยกตัวจากเขมรแดง :

หลังพักรักษาตัวอยู่นาน จนกระทั่งได้รับอนุญาตให้กลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัว หากแต่สิ่งที่เขาพบหลังกลับบ้าน คือ ครอบครัวถูกสั่งให้ย้ายถิ่นฐาน ไปจากสถานที่เดิม ไกลถึง 40 กิโลเมตร ยิ่งไปกว่านั้น พ่อของเขายังถูกจับแยกออกจากครอบครัว ไปใช้แรงงาน และถูกซ้อมทรมาน ด้วยข้อหาเป็น “สมาชิกกลุ่มนิยม เจ้านโรดม สีหนุ” อีกด้วย ทั้งๆที่ ตัวเขาเอง ได้รับบาดเจ็บสาหัส จากการต่อสู้ให้กับฝ่ายเขมรแดงแท้ๆ

“ในเวลานั้นผมคิดเพียงว่า พ่อของผมควรได้รับอิสรภาพ แต่เขมรแดง กลับยังคงซ้อมทรมานอย่างโหดร้ายกับพ่อของผม แม้ว่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะแล้วก็ตาม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมจึงอยากที่จะแก้แค้น การกระทำอันโหดเหี้ยม ของฝ่ายเขมรแดงเหล่านั้นให้ได้”  

หลังจากนั้น “สมเด็จฯฮุนเซน” จึงได้เริ่มต้นวางแผนอย่างลับๆ กับบรรดาเพื่อนๆที่ใกล้ชิด เพื่อหาทางโค่นล้ม ระบอบเขมรแดง ของ “พล พต” ถึงแม้ว่า มันจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก จากการที่ชาวเขมรแทบทุกคนในเวลานั้น ถูกจับแยกจากครอบครัว

ก่อนจะถูกนำไปรวมกัน ภายในค่ายย่อยของฝ่ายเขมรแดง ที่จะมีจำนวนเพียง 10,000 คนต่อค่าย จากนั้นจะถูกเกณฑ์ใช้แรงงาน ทำงานด้านเกษตรกรรม โดยไม่มีเครื่องทุ่นแรงใดๆ ถึง 11 ชั่วโมง เป็นเวลา 9 วันติดต่อกัน ส่วนในวันที่ 10 จะถูกนำตัวไป “ล้างสมอง” เพื่อรับฟังการอบรมลัทธิคอมมิวนิสต์ จนกระทั่งเหลือเวลาเพียงเล็กน้อย สำหรับการวางแผนก่อกบฎ ก็ตาม  

จับมือเวียดนามโค่นเขมรแดง :

จากการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในปี 1990 “สมเด็จฯฮุนเซน” อ้างว่า ในช่วงกลางปี 1977 ตัวเขาและทหารบางส่วน ซึ่งถูกสั่งให้ไปประจำการใกล้ชายแดนเวียดนาม ได้ตัดสินใจ เดินข้ามพรมแดน ไปเปิดการเจรจากับเวียดนาม เพื่อร่วมมือกันโค่นอำนาจ “เขมรแดง”

“ตอนนั้น เวียดนามไม่เต็มใจที่จะร่วมมือกับผม และเก็บผมไว้ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง อีกทั้งเวียดนามยังแนะนำให้ผมไปขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยแทนอีกด้วย เห็นไหมว่า ในเวลานั้นเวียดนามยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฝ่ายพล พต

หากแต่ สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปก็คือ ความทะเยอทะยานของ พล พต ที่นำกำลังพลรุกล้ำดินแดนไทยและเวียดนามก่อน ด้วยเหตุนี้ เวียดนามจึงตัดสินใจสนับสนุนผม

นอกจากนี้ การที่เราสามารถโค่นล้มเขมรแดงได้นั้น ไม่ได้มาจาก กองทัพเวียดนามแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่มันเป็นเพราะมีปัจจัยภายใน จากการที่ชาวเขมร ไม่สามารถอดทนต่อความโหดเหี้ยมของระบอบพล พต ได้อีกต่อไปด้วย”

และนั่นเองจึงนำไปสู่ “ข้ออ้าง” การยืมมือเวียดนาม ขับไล่ “เขมรแดง” ออกจาก กรุงพนมเปญ ได้สำเร็จในเดือนธันวาคม ปี 1978

หุ่นเชิดเวียดนาม :

แม้ว่าจะสามารถโค่น “เขมรแดง” ได้สำเร็จ หากแต่กัมพูชา ก็แตกแยกออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มเขมรเสรี  2.กลุ่มเจ้านโรดม สีหนุ  3.กลุ่มเขมรแดง  และ 4. กลุ่มนายเฮงสัมริน และ สมเด็จฮุนเซน ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ จาก เวียดนาม

อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา 3 กลุ่มแรก ได้พยายามจับมือกันอย่างหลวมๆ เพื่อหาทางโค่นรัฐบาลของนายเฮง สัมริน ภายใต้มอตโตที่ว่า รัฐบาลกัมพูชาที่ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่นั้น เป็นเพียง “รัฐบาลหุ่นเชิด” จากการที่เปิดกว้างให้ ชาวเวียดนาม สามารถอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศกัมพูชาจำนวนมาก จนแทบไม่ต่างอะไรกับ “ค่อยๆกลืนกินชาติ”

โดย “สมเด็จฮุนเซน” ซึ่งได้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 1989 หลังการเสียชีวิตของนายเฮง สัมริน ได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อ เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหา “หุ่นเชิดของเวียดนาม” รวมถึง ข้อกล่าวหาว่าเป็นรัฐบาลที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น หลายต่อหลายครั้ง เช่น…

“ฝ่ายตรงข้าม กำลังสิ้นหวังในเรื่องการใช้อำนาจปืนเพื่อโค่นล้มเรา ดังนั้นพวกเขาจึงหันไปใช้สงครามด้านจิตวิทยาแทน”

และ... “เป็นเรื่องง่ายที่จะตรวจสอบว่า ผมหรือรัฐมนตรีในรัฐบาล ทุจริตหรือไม่ ด้วยการไปตรวจสอบบัญชีตามธนาคารต่างๆทั่วโลก อีกทั้ง หากเปรียบเทียบกับฝ่ายเจ้าสีหนุ หรือ จอมพลลอน นอล คนเหล่านั้น มีทั้ง บัญชีธนาคารในต่างประเทศ รวมถึงมีบ้านทั้งในฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา

แล้วแบบนี้....ถ้าผมหรือเหล่ารัฐมนตรี มีบ้านหนึ่งหรือสองหลังในกัมพูชา ทำไมมันจึงต้องกลายเป็นปัญหาด้วย ทั้งๆที่เรา ตั้งใจที่จะเก็บทรัพย์สินทั้งหมดไว้ในประเทศ”

หรือ... “ตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 1978 เจ้าสีหนุต่อต้านเขมรแดงหรือไม่? คำตอบ คือ ไม่เลย มีเพียง นายเฮง สัมริน และ ผม เท่านั้นที่ต่อสู้กับเขมรแดง ผมจึงอยากเน้นย้ำจุดนี้ ให้ชาวกัมพูชาทุกคนที่อยู่ในต่างประเทศได้รับทราบ”

ส่วนข้อกล่าวเรื่องการเปิดทางให้ ชาวเวียดนามค่อยๆเข้ามากลืนกินชาวเขมร เพื่อเปลี่ยนให้กัมพูชากลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเวียดนาม นั้น สมเด็จฮุนเซน ตอบโต้ว่า...

คุณลองไปสอบถามดูสิว่า มีชาวเขมรกี่คนที่แต่งงานกับคนเวียดนาม?
มีสมาชิกในครอบครัวชาวเขมรกี่คนที่พูดภาษาเวียดนามได้?
หรือ มีชาวเขมรคนไหนที่ถูกบังคับให้เรียนภาษาเวียดนามบ้าง?

เพื่อที่คุณจะได้เห็นความจริงที่ว่า ทั้ง ภาษาอังกฤษ ไทย ฝรั่งเศส หรือแม้กระทั่ง สเปน กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายตามโรงเรียนเอกชนในประเทศของเรา”

และ... “เป็นเรื่องแปลกสำหรับเสียงวิพากวิจารณ์ที่ว่า การที่มีกองทัพเวียดนามประจำการในอยู่กัมพูชา คือ การที่เขมรถูกเวียดนามกลืนกินชาติ และสูญเสียเอกราช ถ้าแบบนั้น ทำไม ตอนที่ จอมพลลอน นอล ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ จากกองทัพสหรัฐ จึงไม่ถูกเรียกว่า สูญเสียเอกราช บ้าง?”

กลยุทธ์เงินและปืนรวบอำนาจ :

“ผมไม่เพียงแต่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอลง แต่ผมจะทำให้เขาตายไปเลย และถ้าหากมีใครที่คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งพอ เพื่อลองจัดการประท้วง ผมจะไล่ทุบคนเหล่านั้นและจับขังคุกทั้งหมด”

สมเด็จฮุนเซน ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวต่างประเทศ เมื่อปี 2011 หลังถูกตั้งคำถาม เรื่องความกังวลเกี่ยวกับคลื่นการประท้วงในเหตุการณ์อาหรับสปริง จะมาถึงประเทศกัมพูชาหรือไม่?

ทั้งนี้ หลังการผลักดันแผนสันติภาพ ขององค์การสหประชาชาติ ที่นำไปสู่การจัดการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในปี 1993

แม้ว่า ฝ่ายพรรคฟุนซินเปก ของ เจ้านโรดม รณฤทธิ์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนกัมพูชา จะชนะการเลือกตั้ง แต่ สมเด็จฮุนเซน ซึ่งมีพลังอำนาจทางการทหารเหนือกว่า “กลับแสดงอาการไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งอย่างเด่นชัด”

จนกระทั่ง “เจ้านโรดม สีหนุ” ต้องทรงเข้ามาไกล่เกลี่ย และนำไปสู่การประนีประนอมให้กัมพูชา มีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ประจำกระทรวงต่างๆ ถึง 2 คน ที่มาจากแต่ละฝ่าย!

ซึ่งแน่นอนว่า การบริหารประเทศแบบ “พิลึกพิลั่น” นี้ สามารถประคองความขัดแย้งไปได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม เพราะหลังจากนั้น “สมเด็จฮุนเซน” ก็ได้ใช้ทั้งอำนาจเงินและปืนในทางลับ เข้า “ติดสินบนและข่มขู่” บรรดา ส.ส.พรรคฟุนซินเปก ให้ยอม “แปรพักตร์” มาได้จำนวนหนึ่ง เพื่อหวังนำมาใช้เป็นคะแนนโหวตให้ “เจ้านโรดม รณฤทธิ์” ต้องพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค และนายกรัฐมนตรีคนที่ 1

อย่างไรก็ดี เมื่อวิธีการนี้ ได้คะแนนเสียงมาไม่เพียงพอ จึงได้มีการส่งกองกำลัง เข้า “ปลดอาวุธ” บรรดาองค์รักษ์ ของ หัวหน้าพรรคฟุนซินเปก และข่มขู่ว่า จะถูกจับกุมหากไม่ยอมจำนน จนกระทั่งบีบให้ “เจ้านโรดม รณฤทธิ์” ต้องจำยอมเสด็จออกนอกประเทศ เพื่อความปลอดภัย

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผู้สนับสนุนและเหล่าแกนนำพรรคฟุนซินเปก ต่างๆค่อยๆทยอยถูกจับกุมคุมขัง ด้วยข้อหาต่างนานา รวมถึงถูกลอบสังหาร โดยไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ อีกหลายต่อหลายคน

แบ่งแยกแล้วปกครอง :

ส่วนฝ่ายเขมรแดง ซึ่ง มีความเข้มแข็งในด้านการทหารและเป็นพันธมิตรกับฝ่าย “เจ้านโรดม สีหนุ” ก่อนหน้านี้ นั้น “สมเด็จฮุนเซน” ได้วางหมาก ด้วยการใช้การพิจารณา “คดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” บีบบรรดาแกนนำของเขมรแดง “ยอมแปรพักตร์” มาเข้าร่วมกับฝ่ายตัวเอง เพื่อแลกกับการ “ได้รับพระราชอภัยโทษ” ได้จำนวนหนึ่งด้วย

เนื่องจากในเวลานั้น สมเด็จฮุนเซน สามารถควบคุม ทั้งสถาบันตุลาการและสถาบันกษัตริย์ เอาไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว

ซึ่ง “กองกำลังเขมรแดงแปรพักตร์” นี้ นอกจากจะกลายเป็นเครื่องมือในการจัดการกับฝ่าย “เจ้านโรดม รณฤทธิ์” แล้ว ยังถูกนำไปใช้ในการจัดการกับ “เขมรแดง” ที่ยังภักดีต่อ “พล พต” จนสิ้นอำนาจและถูกจับกุมในปี 1998 ด้วย

ทั้งๆที่ ในช่วงปี 1997 นั้น สมเด็จฮุนเซน ได้ลงนามในจดหมายถึงองค์การสหประชาชาติ เพื่อร้องขอให้มีการตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกิจ เพื่อพิจารณาประเด็นความรับผิดชอบส่วนบุคคล สำหรับการก่ออาชญากรรมของเขมรแดง ก็ตาม

นอกจากนี้ การผลักดันในเรื่องการเอาผิดต่อเหล่าเขมรแดง ยังได้ถูก “สมเด็จฮุนเซน” แปรเปลี่ยนเป็น “ชาวกัมพูชาควรลืมอดีตและหันหน้าสู่การปรองดอง” ด้วยการเปิดบ้านดื่มแชมเปญฉลอง กับ แกนนำเขมรแดงอาวุโส อย่าง นายนวน เจีย และ นายเขียว สัมพันธ์ ในวันที่ 25ธ.ค.1998

ก่อนจะใช้ทุกวิถีทาง “เตะถ่วง” ความพยายามแทรกแซงจากนานาชาติ ภายใต้สุภาษิตกัมพูชาที่ว่า... “เมื่อจระเข้อยู่ในน้ำ ข้าไม่กล้าจับจระเข้ แต่เมื่อจระเข้ตาย ข้าจะจับให้เจ้าดู” เพื่อเปรียบเปรยว่า ตนเองเป็นเพียงผู้เดียวที่กล้าท้าทายกับเขมรแดงในยุคที่ยังเรืองอำนาจ รวมถึงยังสามารถจัดการปัญหานี้ได้สำเร็จ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโลกภายนอกด้วย

ซึ่งสวนทางกับบรรดานักวิเคราะห์ ซึ่งมองว่า ปัจจัยหลักน่าจะเป็นเพราะการต่อต้านได้ถูกทำลายลงอย่างราบคาบแล้ว อีกทั้ง การพิจารณาคดีดังกล่าว “มีความเสี่ยง” ต่อการถูกขุดคุ้ยการกระทำของตัวเองในอดีต เมื่อครั้งยังอยู่กับฝ่ายเขมรแดง โดยไม่จำเป็น อีกด้วย

ขณะเดียวกัน อีกสิ่งหนึ่ง ที่สามารถแสดงออกถึง “ความแข็งกร้าว” สำหรับการเข้าจัดการทุกๆปัญหาที่มีต่อระบอบฮุนเซน ได้เด่นชัดมากที่สุด คือ เมื่อครั้งที่ สมเด็จฮุนเซน ได้ประกาศผ่านสื่ออย่างชัดเจน เมื่อวันที่ 18มิ.ย.2005 ว่า “ใครก็ตามที่เรียกผมว่า กบฎ พวกเขาควรเตรียมโลงศพและบอกพินัยกรรมกับภรรยาได้เลย”

โดยบทสัมภาษณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจาก “เจ้านโรมดม สีหนุ” ได้ประกาศสละราชสมบัติเพื่อเป็นการแสดงออกถึงการต่อต้านระบอบการปกครอง ของ สมเด็จฮุนเซน เพียงไม่กี่วันเท่านั้น

ความเชื่อในอำนาจ :

ในการให้สัมภาษณ์กับ The Leaders ของประเทศอินโดนีเซีย สมเด็จฮุนเซน กล่าวถึงการครองอำนาจอันยาวนานของตัวเองว่า...

“นอกจากการสนับสนุนของประชาชนแล้ว ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองหลายต่อหลายครั้งว่า รอดชีวิตจากสนามรบ รวมถึงการถูกลอบสังหารหลายต่อหลายครั้ง มาจนถึงวันนี้ได้อย่างไร?

ผมมักมีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษ เกิดขึ้นกับผม บางสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอีก 2 หรือ 3 วันข้างหน้า หรือบางครั้ง ก็เกิดขึ้นในความฝัน ผมจึงเชื่อว่า มีบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ ให้การดูแลและคุ้มครองผมอยู่”

ขณะเดียวกัน ในงานเฉลิมฉลองการอยู่ในอำนาจครบ 33 ปี เมื่อเดือนมกราคมปี 2018 สมเด็จฮุนเซน ได้กล่าวปราศรัยโดยระบุว่า...

การอยู่ในอำนาจมาได้นานถึง 33 ปี นั้น ไม่ได้มาจากอำนาจของปลายกระบอกปืน หรือ ระบบเผด็จการใดๆ เพราะผู้ที้ได้ชื่อว่าเป็นเผด็จการที่แท้จริงของกัมพูชา นั้น ควรจะเป็น พล พต แห่งเขมรแดง และ จอมพลลอน นอล มากกว่า

ขณะเดียวกัน ตัวเขาเอง ก็ไม่เคยมีความทะเยอทะยาน ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย และแม้ว่าอยากจะเกษียณ แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ เพราะประเทศชาติเรียกร้องด้วย

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ จากบทความอันแสนยาวยืด “คุณ” มีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้าง?

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม :

ย้อนรอย จลาจลเผาสถานทูตไทย บทเรียนข่าวเท็จ กัมพูชา ปี2546 (ชมคลิป)

ย้อนสงครามไทย-กัมพูชา 2554 BM 21 VS ปืนใหญ่ “บิ๊กตู่” ลั่น อยากรบก็รบ! (ชมคลิป)

เมื่อวิกฤตหนี้สิน47,000ล้านเยน ถูกแก้ไขด้วยใจนักสู้ของเราทุกคน

เป็นโค้ชกับว่ายน้ำเองไม่เหมือนกัน มุมคิด คนจับปลา ชื่อ ตี๋ เว่ยเจี๋ย (ชมคลิป)

นักเรียนนักเลง สู่บัณฑิต UC.Berkeley ความตั้งใจของคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลง (ชมคลิป)

Tag : ฮุนเซน สมเด็จฮุนเซน แพทองธารชินวัตร ทักษิณชินวัตร คลิปเสียง เขมรแดง สงครามไทยกัมพูชา ชายแดนไทยกัมพูชา พิพาทไทยกัมพูชา ไทยเขมร ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ชายแดนไทย กองทัพภาคที่ 2 บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา ปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ช่องบก ปะทะที่ช่องบก OUTFIELDMAN สำนักข่าวทรัสต์นิวส์ Trustnews

You might be intertested in this news.

Mostview

AI พาปวดหัวภาพอิหร่านยิง F-35 อิสราเอลตกไม่ใช่ของจริง ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน

สื่อต่างประเทศหลายสำนักวิเคราะห์ตรงกัน กรณีในโซเชียลมีการแชร์ภาพ เครื่องบินขับไล่เอฟ-35 ของ ทอ.อิสราเอลถูกอิหร่านยิงตกไม่มีหลักฐานยืนยันอย่างเป็นทางการ ส่วนมากเป้นภาพตัดต่อ และภาพสร้างโดยเอไอ เพื่อหวังผลเรียกยอดไลค์ และสร้างอคดีด้านลบ

เพลง Beyond the Time บทสรุปศึกขัดแย้งของ ชาร์กับอามูโร่ ในจักรวาล GUNDAM

เพลง "Beyond the Time ~Möbius no Sora wo Koete~" เมื่อแอนิเมชั่นตอนล่าสุดของ Gundam GQuuuuuuX นำมาใช้เป็นเพลงปิดตอน เพียงแค่เสียงซินธิไซเซอร์ดังขึ้น ก็พาเหล่าเด็กหนวดและแฟนกันดั้มรุ่นเดอะเจอกับ คิระคิระ ข้ามกาลเวลาไปถึงศึกสุดท้ายของชาร์และอามูโร่

แนวโน้มSETวันนี้ (19มิ.ย.68) รอความชัดเจนทางการเมือง

แนวโน้มSETวันนี้ (19มิ.ย.68) รอความชัดเจนทางการเมือง

5 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (23มิ.ย.2025)

5 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (23มิ.ย.2025)

กลยุทธ์การลงทุน ท่ามกลาง4มรสุมทั้งนอกและใน

กลยุทธ์การลงทุน ท่ามกลาง4มรสุมทั้งนอกและใน

TrustNEws Line