วันเสาร์, สิงหาคม 2, 2568

เป็นโค้ช กับ ว่ายน้ำเองไม่เหมือนกัน มุมคิด คนจับปลา ชื่อ ตี๋ เว่ยเจี๋ย (ชมคลิป)

by Trust News, 9 มิถุนายน 2568

เป็นโค้ช กับ ว่ายน้ำเองไม่เหมือนกัน มุมคิด คนจับปลา ชื่อ ตี๋ เว่ยเจี๋ย (ชมคลิป)

“ณฐพล บุญประกอบ” ผู้กำกับซีรีย์ “สงครามส่งด่วน” (Mad Unicorn) ยอมรับว่า “คนต้นเรื่อง” ที่นำไปสู่การสร้างซีรีย์ ซึ่งกำลังร้อนแรงบนโลกโชเชียลมีเดียเวลานี้ ถูกอ้างอิงมาจาก “คุณคมสันต์ แซ่ลี” CEO ของ “Flash Express” ธุรกิจ Startup ที่ในเวลาต่อมา สามารถกลายร่างเป็น “ยูนิคอร์นตัวแรกของประเทศไทย” หรือ ธุรกิจที่เติบโต จนกระทั่งมีมูลค่า มากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (32,780ล้านบาท) โดยที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้สำเร็จ

หากแต่...นอกเหนือไปจากเรื่องราว ของ แรงบันดาลใจ การต่อสู้ และความเพียรพยายามอย่างถึงสุดขีด เพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จ ตามความฝัน ของ CEO Flash Express แล้ว

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ การไปสู่ความสำเร็จใดๆนั้น โดยมาก มักไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากขาดไร้ซึ่ง “สหายคู่ใจที่ดี”

ซึ่งในกรณีของ คุณคมสันต์ แซ่ลี ก็ไม่ได้แตกต่างกัน นั่นเป็นเพราะการที่ “ตี๋เล็ก” สามารถชักชวน “คนจับปลา” หรือ “เครื่องจักรแห่งการด่า” อย่าง “รุ่ยเจี๋ย” หนึ่งในคาแรกเตอร์ที่พวกเราหลงรัก มาร่วมกันต่อเรือ เพื่อออกทะเล ไปจับปลาได้นั้น คือ หนึ่งในปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ความฝัน การเป็นเจ้าของธุรกิจ สามารถกลายเป็นจริงได้ ในที่สุด

แล้ว “รุ่ยเจี๋ย” ตัวจริง สำคัญถึงขนาดที่ “เล่าปี่” อย่าง “คุณคมสันต์” ต้องเพียรพยายาม เดินทางไปเขาโงลังกั๋ง ถึง 3 ครั้ง 3 ครา กว่าจะได้ตัว “ขงเบ้ง” มาเป็น “กุนซือคู่ใจ” จริงหรือไม่?

วันนี้ “เรา” ลองไปสำรวจข้อมูลที่น่าสนใจของ “ตี๋ เว่ยเจี๋ย” (Di Weijie) ผู้ร่วมก่อตั้ง และ COO ของ Flash Express หรือ “รุ่ยเจี๋ย” ตัวจริง ซึ่ง “เรา” ได้รวบรวมมาจาก บทสัมภาษณ์ของทั้งคู่ ตามสื่อต่างๆในประเทศจีน มาให้ “คุณ” ได้พิจารณา...

รุ่ยเจี๋ย กับตัวจริงที่ชื่อ ตี๋ เว่ยเจี๋ย :

อ้างอิงจาก การให้สัมภาษณ์กับ China Youth Daily เมื่อปี 2014  “ตี๋ เว่ยเจี๋ย” ยอมรับว่า แรงบันดาลใจที่ทำให้เขา มุ่งหน้าไปสู่การเรียน ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Department of Computer Science) ที่ มหาวิทยาลัยถงจี้ (Tongji University) ซึ่งถือเป็น มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศจีน นั้น มาจาก “ความชื่นชอบการเล่นวิดีโอเกม และปราถนาที่จะทำให้กิจกรรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องของวิดีโอเกมทั้งหมด สามารถดำเนินการไปอย่างถูกต้อง และมีกฎหมายรองรับ” มาตั้งแต่ ช่วงเรียนชั้นประถมศึกษา

Turning Point :

ส่วนหากถามว่า ความคิดที่อยากจะเป็น “เจ้าของธุรกิจ” มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไรนั้น “ตี๋ เว่ยเจี๋ย” ยอมรับว่า หลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยถงจี้ และได้เข้าทำงานที่ Alibaba Group นั้น ในช่วงที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบ ด้านการพัฒนาแอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือ นั้น เขาค้นพบว่า ตลาดแอปพลิเคชันยังมีช่องว่างทางธุรกิจที่กว้างใหญ่มาก

นอกจากนี้ อินเทอร์เน็ตบนมือถือ ยังมีบทบาทอันสำคัญยิ่ง ในการเข้าไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างรวดเร็ว จนกระทั่ง ทำให้เกิดการแบ่งกลุ่มลูกค้าในตลาด ออกเป็นกลุ่มย่อยๆจำนวนมาก และในจำนวนนี้ ความต้องการส่วนใหญ่ ยังไม่ได้รับการตอบสนอง

ดังนั้น หากคิดที่จะตอบสนองต่อตลาด และความต้องการของกลุ่มลูกค้าในลักษณะเช่นนี้ได้ดี จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “การสร้างสรรค์นวัตกรรม”

Black and White Campus :

มิถุนายน ปี 2014 หลังมองเห็น “ช่องว่าง” ทางธุรกิจดังกล่าว “ตี๋ เว่ยเจี๋ย” ซึ่งทำงานกับ Alibaba Group มา 8 ปี จึงตัดสินใจ “ลาออก” จากหน้าที่การงานและบริษัทอันมั่นคง เพื่อเริ่มต้นการเรียนรู้ สู่เป็น “เจ้าของธุรกิจ” ในฐานะ CEO ร่วมกับ “จี คุน” (Ji Kun) อดีตพนักงาน Alibaba Group ที่ทำหน้าที่เป็น COO เพื่อร่วมกันก่อตั้งบริษัทที่มีชื่อว่า “ปักกิ่ง เอาเทอจื่อ” (Beijing Aotezhi Technology Co.Ltd.)

จากนั้น จึงได้ร่วมกันพัฒนา Portal Application ที่มีชื่อว่า “Black and White Campus” ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การจับกลุ่มเป้าหมาย คือ “นักเรียนและนักศึกษา” ผ่านการให้บริการข้อมูลข่าวสาร เรื่องการเรียนต่อรวมถึงการใช้ชีวิต ในรอบรั้วสถานศึกษาและมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อหวังเชื่อมโยง เหล่าคนหนุ่มสาวชาวจีนทั่วประเทศให้มารวมตัวกันใน Application เดียว

หลังทั้งคู่ ได้สำรวจพบว่า “ตลาดกลุ่มดังกล่าว” เป็น “ตลาดขนาดใหญ่” ที่มีผู้บริโภครวมกันถึงประมาณ 30 ล้านคน และมีมูลค่าประเมินมากกว่า 500,000 ล้านหยวน (2.2ล้านล้านบาท) และที่สำคัญมากไปกว่านั้น คือ “ยังไม่มีผู้เล่นรายใหญ่” กระโดดเข้ามาคว้ามันไปครอบครอง (ณ ช่วงเวลานั้น)

ทั้งนี้ “จี คุน” ให้สัมภาษณ์กับสื่อในประเทศจีน หลังการเปิดตัวในปี 2015 ว่า “Black and White Campus” สามารถเชื่อมโยงข้อมูล สถานศึกษาและมหาวิทยาลัย ได้รวมกันถึง 2,700 แห่งทั่วประเทศจีน โดยมีผู้ใช้งาน ที่ลงทะเบียนรวม 1.5 ล้านคน

และในจำนวนนี้ มีผู้ใช้งานรายวัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% และมีการโพสต์ข้อมูลใหม่ ประมาณ 30,000 โพสต์ต่อวัน

บทเรียนแรก เมื่อได้เป็นเจ้าของกิจการ :

“หลังได้เริ่มต้น การเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเอง ผมจึงได้รู้ว่า การเป็นโค้ช กับการว่ายน้ำด้วยตัวเอง นั้น ไม่เหมือนกัน”  

นั่นคือคำกล่าวของ “ตี๋ เว่ยเจี๋ย” ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสื่อในประเทศจีนเมื่อปี 2016

หลัง เจ้าตัวยอมรับว่า นับตั้งแต่เปิดตัว Black and White Campus ในปี 2015 เป็นต้นมา บริษัทต้องพบกับสารพัดปัญหาต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ตัวเลขผู้ใช้งานที่เริ่มลดลง , การใช้งานที่ยังไม่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้มากพอ , และแน่นอนที่สำคัญที่สุด ก็คือ ปัญหาด้านเงินทุน จนกระทั่ง เคยได้รับข้อเสนอ เพื่อขอซื้อกิจการ

อย่างไรก็ดี  “ตี๋ เว่ยเจี๋ย” ได้ยืนกรานที่จะ “ปฏิเสธ” ข้อเสนอดังกล่าว เพื่อขอต่อสู้ในเส้นทางที่ยากลำบากนี้ต่อไป

จนกระทั่ง ได้รับความสนใจ จากนักลงทุนในระดับหนึ่ง และผ่านการระดมทุนซีรีย์ A (Series A Funding) ไปได้สำเร็จ ในเดือนธันวาคมปี 2015

คนจับปลาและคนต่อเรือ :

“เรามีมุมมองในแง่บวกสำหรับบทบาทของโลจิสติกส์ ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและธุรกิจอีคอมเมิร์ซ”

นั่นคือคำกล่าวของ “ตี๋ เว่ยเจี๋ย” ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสื่อประเทศจีน ถึงวิสัยทัศน์ ในช่วงเริ่มก่อตั้งธุรกิจใหม่ กับพาร์ทเนอร์ชาวไทย ในปี 2020

และแน่นอน… คู่หูคนสำคัญที่ทำให้ “คนหาปลา” ได้พบเจอกับ “คนต่อเรือที่ใช่” นั่นก็คือ “คุณคมสันต์ แซ่ลี” CEO แห่ง “Flash Express” นั่นเอง

แล้ว เล่าปี่ กับ ขงเบ้ง คู่นี้ได้พบเจอกันได้อย่างไร?

“คุณคมสันต์ แซ่ลี” เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนถึงประเด็นนี้ เอาไว้ว่า ได้มีโอกาสพบกับเจอกับ “ตี๋ เว่ยเจี๋ย” ผ่านการประสานงานโดยพี่สาวของภรรยาซึ่งเป็นชาวจีน ที่ทำงานอยู่กับ Alibaba Group ในช่วงปี 2017

อย่างไรก็ดี การพบเจอกันครั้งแรกระหว่าง “เล่าปี่” อย่าง “คุณคมสันต์” กลับไม่สามารถโน้มน้าวใจให้ “ตี๋ เว่ยเจี๋ย” มาร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจได้สำเร็จ เนื่องจาก “ขงเบ้ง” อย่าง “ตี๋ เว่ยเจี๋ย” นั้นมองว่า การมาในชุดสูทผูกไทเต็มยศ ของคุณคมสันต์นั้น แสดงให้เห็นว่า อาจจะยังไม่มีความพร้อมสำหรับการทำงานในแบบสุดขีดคลั่ง เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้

อีกทั้ง “ตี๋ เว่ยเจี๋ย” ณ เวลานั้นเอง ก็ยังมีมุมมอง ต่อตลาดธุรกิจขนส่งพัสดุ และอีคอมเมิร์ซทั้งในประเทศไทย และอาเซียน ด้วยว่า ยังมีขนาดตลาดที่ค่อนข้างเล็ก และล้าหลังอยู่ด้วย  

อย่างไรก็ดี ความพยายามเทียวไล้เทียวขื่อ ของ คุณคมสันต์ จนกระทั่งสามารถเชื้อเชิญให้ “คู่หู” ยอมเดินทาง มาดูงานที่ประเทศไทย เป็นเวลา 3 วัน ก็สามารถโน้มน้าวให้ “ขงเบ้ง” ยอมลงจากเขาโงลังกั๋ง เพื่อมาร่วมกันทำธุรกิจขนส่งพัสดุ ได้สำเร็จ

หลังได้เห็นภาพ คนไทยจำนวนมาก ยังคงต้องรอเข้าคิวยาวเหยียด เพียงเพื่อรอส่งพัสดุอันหนักอึ้ง แม้จะเป็นเวลาถึง 4 ทุ่มแล้วก็ตาม!

นอกจากนี้ “ตี๋ เว่ยเจี๋ย” เอง ก็ยังได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อจีน ถึงประเด็นนี้ เอาไว้อย่างน่าสนใจ เมื่อปี 2020 ด้วยว่า ส่วนตัวเขาคิดว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในอาเซียน จะมีความใกล้เคียงกับประเทศจีน มากกว่า ญี่ปุ่นในอนาคต

เนื่องจากความล้าหลังในเรื่องดังกล่าว จะถูกเร่งพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จากอิทธิพลของสมาร์ทโฟน และการเข้าสู่ระบบนิเวศ ของการบริโภคสินค้าและการให้บริการแบบออนไลน์

ขณะเดียวกัน ตัวเขาเองก็มีความสนใจที่จะออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศอยู่แล้ว เพียงแต่ กำลังอยู่ในระหว่างการมองหา “พาร์ทเนอร์คู่ใจที่เหมาะสมเท่านั้น”

สไตล์การทำงานไทย-จีน :

หาก “คุณ” กำลังสงสัยว่า “รุ่ยเจี๋ย” ตัวจริง เป็น “เครื่องจักรแห่งการด่า” เหมือนในซีรีย์สงครามส่งด่วน หรือไม่นั้น ลองไปรับฟัง บทสัมภาษณ์ของ “ตี๋ เว่ยเจี๋ย” กับ สื่อจีน ถึงประเด็นนี้ เอาไว้อย่างน่าสนใจ ในช่วงปลายปี 2020 ที่ว่า…

“พนักงานไทย มีความแตกต่าง จากพนักงานจีนค่อนข้างมาก ยกตัวอย่างเช่น กรณีไรเดอร์ ที่จะได้รับมอบหมาย ให้จัดส่งพัสดุอย่างน้อย 60 ชิ้นต่อวัน นั้น ไรเดอร์ชาวไทยส่วนใหญ่ มักเลือกที่จะส่งจัดพัสดุเพียง 50 ชิ้น และนำอีก 10 ชิ้นที่เหลือ ส่งกลับคืนคลังเก็บสินค้า เมื่อถึงเวลาเลิกงาน

หากแต่ในกรณีของไรเดอร์จีนนั้น มักจะเร่งจัดส่งพัสดุทั้งหมด 60 ชิ้นให้เสร็จสิ้น ก่อนถึงเวลาเลิกงาน  

นอกจากนี้  “ตี๋ เว่ยเจี๋ย” ยังพูดถึง อีกหนึ่งทัศนคติในการทำงาน ที่แตกต่างกันระหว่าง พนักงานไทยและจีน เอาไว้อย่างน่าสนใจด้วยว่า…

“ลักษณะเฉพาะที่สำคัญอีกประการ ของพนักงานไทย คือ การให้ความสำคัญ กับความรู้สึกด้านจิตใจ เพราะการลาออกของพนักงานเพียงหนึ่งคน อาจนำไปสู่การลาออกของพนักงานอีกหลายๆคน พร้อมๆกันได้

ด้วยเหตุนี้ ในช่วงแรก บริษัทจึงต้องมีการเร่งทำความเข้าใจ เรื่องความต้องการ , พฤติกรรม และความรู้สึกของพนักงานชาวไทย ให้ได้อย่างถ่องแท้ รวมถึงเปิดโอกาสให้พนักงานไทย ที่ประจำอยู่ในสาขาต่างๆทั่วประเทศ มีส่วนร่วมในเรื่องการบริหารจัดการมากขึ้น เพื่อลดอุปสรรคเรื่องการสื่อสารภายในองค์กรให้เหลือน้อยที่สุด”

ซึ่งแน่นอนว่า หน้าที่อันสำคัญนี้ ได้ถูกยกไปให้กับ “เล่าปี่ ผู้พนมมือให้กับคนทุกชนชั้น” อย่าง “คุณคมสันต์ แซ่ลี” ซึ่งเป็นคนไทย ที่เข้าใจจิตใจของเพื่อนร่วมชาติได้มากกว่า

การแก้ไขปัญหา สไตล์การทำงานไทย-จีน :

“คุณคมสันต์ แซ่ลี” ได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อจีน ถึงความเหนื่อยยากในเรื่องการปรับจูนการทำงาน ระหว่าง สไตล์การทำงานแบบจีนและไทย เมื่อช่วงปลายปี 2020 เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า…

“ช่วงเริ่มต้นการทำธุรกิจนั้น ปัญหาที่น่าหนักใจที่สุดเรื่องหนึ่ง คือ การประสานทำความเข้าใจระหว่างทีมงานคนไทย ที่อยู่กรุงเทพ และ ทีมงานคนจีน ที่อยู่ปักกิ่ง นั่นเป็นเพราะ ทีมงานชาวจีนนั้น มีความกระตือรือร้นสูงมาก และพร้อมจะทำงานทุกอย่าง อย่างชนิดทันท่วงที

แต่สำหรับทีมงานชาวไทย นั้น ส่วนใหญ่ มักจะมีทัศนคติในการทำงานที่ว่า การแก้ไขปัญหาบางอย่าง หากทำในภายหลัง ก็คงไม่ได้เป็นปัญหาอะไร

นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจกับ ทีมงานจีน คือ การใช้งานผลิตภัณฑ์ระหว่าง คนไทยและจีน ณ ช่วงเวลานั้น ยังมีความแตกต่างกันมากด้วย

ด้วยเหตุนี้ เมื่อฝ่ายจีน ซึ่งมักจะพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุด และล้ำหน้าที่สุดมาให้ หากแต่ ณ เวลานั้น มันอาจยังไม่สามารถ นำมาปรับใช้ในประเทศไทยได้ หรือ เปรียบไป มันก็คงเหมือนกับว่า ตอนนี้ ผมยังสามารถขับได้แค่เพียงรถยนต์ขนาดเล็ก แต่คุณกลับ อยากจะสร้างรถถัง มาให้ผมใช้

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงต้องโทรศัพท์หารือกับ ตี๋ เว่ยเจี๋ย นานถึง 3 ชั่วโมงในทุกๆวัน เพื่อประสานความเข้าใจ เรื่องการถ่ายโอนงาน ระหว่างทีมงานคนไทยและทีมงานชาวจีน เพื่อบีบช่องว่างที่ว่านี้่ ให้เหลือน้อยที่สุด

ซึ่งหลังจากสื่อสารกันอยู่นานหลายเดือน รวมถึงมีการจัดกระบวนการที่เป็นมาตรฐาน จนกระทั่งทุกคนมีคู่มือในการปฏิบัติงานรูปแบบเดียวกัน เราจึงได้พบ จุดร่วมระหว่างกันได้ในที่สุด

บทส่งท้าย : คำคมธุรกิจ ของ ตี๋ เว่ยเจี๋ย

“สิ่งเดียวที่คงทนในโลกนี้ คือ ความเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีอุตสาหกรรมหรือตลาดในประเทศใด ที่ไม่มีโอกาส ฉะนั้นโอกาสจึงมีอยู่เสมอ เพียงแต่คุณ มีความคิดสร้างสรรค์ที่จะคว้าโอกาสนั้น เอาไว้ได้หรือไม่?”

“ไม่มีความรัก ความเกลียดชัง หรือ ความสำเร็จที่ไม่มีเหตุผล ขณะที่ความหลงใหลเพียงอย่างเดียว ก็ไม่เพียงพอสำหรับการสร้างอาชีพได้

ดังนั้น มันจึงขึ้นอยู่กับว่า คุณสามารถสร้างความได้เปรียบ ในเรื่องการทำความเข้าใจ กับ บรรดาผู้บริโภค , การบริหารจัดการพนักงาน และห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการให้บริการลูกค้าได้ดีเพียงใด ซึ่งหาก คุณ มีข้อได้เปรียบที่ดีเหล่านั้นได้ ส่วนตัวผม เชื่อว่า คุณ ย่อมมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้”

ตี๋ เว่ยเจี๋ย COO ของ Flash Express ตอบคำถามเรื่อง อนาคตการแข่งขันอันดุเดือดและซับซ้อนมากขึ้นในตลาดโลจิสติกส์ กับ สื่อจีน เมื่อช่วงปลายปี 2020

สรุปผลประกอบการ Flash Express ระหว่างปี 2020 - 2024 :

ปี 2020 : รายได้  9,738 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 716 ล้านบาท
ปี 2021 : รายได้ 17,607 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5.6 ล้านบาท
ปี 2022 : รายได้ 14,805 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 2,186 ล้านบาท
ปี 2023 : รายได้ 20,093 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 559 ล้านบาท
ปี 2024 : รายได้ 24,728 ล้านบาท กำไรสุทธิ 940 ล้านบาท

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ จากบทความอันแสนยาวยืด “คุณ” มีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้าง?

 

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม :

นักเรียนนักเลง สู่บัณฑิต UC.Berkeley ความตั้งใจของคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลง (ชมคลิป)

สำรวจ5ปัญหาของแมนยูฯ ที่นำไปสู่ฤดูกาลแห่งฝันร้าย (ชมคลิป)

เบื้องหลังความสำเร็จซอน เฮือง มิน พ่อ และทุกอย่างที่เริ่มจาก Basic (ชมคลิป)

เจมี วาร์ดี และ ตำนานความสำเร็จ บทเรียน เปลี่ยนแปลง นักสู้ (ชมคลิป)

ถอดรหัสความพิเศษ ลามีน ยามาล พรสวรรค์ที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัว (ชมคลิป)


You might be intertested in this news.

Mostview

ทหารเตือน ระวังอันตราย ขีปนาวุธ PHL-03 ระยะยิงกว่า 130 กม.จากแนวชายแดน

กองทัพภาคที่ 2 เตือนพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระวังอันตรายจาก PHL-03 ขีปนาวุธ พื้นสู่พื้นหลายท่อยิงของฝ่ายกัมพูชา ชี้พิสัยไกล 130 กม. อาจตกใส่เขตชุมชนแบบไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้ พยายามอยู่ห่างจากที่ตั้งหน่วยงานราชการไว้ก่อน

ทหารไทยยึด "ภูมะเขือ" ได้ นาวิกโยธิน เข้าขับไล่ทหารกัมพูชาพ้น "บ้านชำราก"

กองทัพไทย รายงานการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยกองทัพภาคที่ 2 แจ้งทหารไทยตรึงกำลังเข้ายึด "ภูมะเขือ" ไล่ทหารกัมพูชาลงเขา ขณะที่ กองทัพเรือ เปิดยุทธการ “ตราดพิฆาตไพรี 1” ส่ง นาวิกโยธินไล่ตะเพิดทหารกัมพูชาที่บุก "บ้านชำราก" พ้นแผ่นดินไทย

รีวิวหนัง “อ่านชะตาวันสิ้นโลก” CG อลังก์ หนังมันส์แบบ nonstop

ดูมาแล้ว สำหรับ หนังฟอร์มยักของเกาหลี “อ่านชะตาวันสิ้นโลก” หรือ Omniscient Reader: The Prophecy หนังที่ใช้ทุนสร้างมหาศาล โดยดัดแปลงเนื้อหามาจาก “มังฮวา” ชื่อดัง ที่มีการเขียนลงในเว็บโนเวล

8 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (1ส.ค.2025)

8 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (1ส.ค.2025)

กองทัพอากาศ แจงข่าวสวีเดนปฏิเสธขาย Gripen ให้ไทย เป็นเฟคนิวส์ฝั่งกัมพูชา

กองทัพอากาศ ยืนยัน ข่าวกรณี สื่อของกัมพูชารายงานอ้างว่า สวีเดนระงับการขายเครื่องบินขับไล่ Gripen เพิ่มเติม ให้กับไทยทั้งหมด “ข่าวบิดเบือนความจริง” โครงการดังกล่าว ยังคงอยู่ในระหว่างกระบวนการจัดซื้อ

TrustNEws Line