วันพุธ, สิงหาคม 27, 2568

ภาระผู้ลี้ภัยจากเพื่อนบ้าน น้ำใจไทยใยเขมรจึงลืมเลือน

by Trust News, 27 สิงหาคม 2568

ภาระผู้ลี้ภัยจากเพื่อนบ้าน น้ำใจไทยใยเขมรจึงลืมเลือน

ผลของสงครามกลางเมือง การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุคนชาติเดียวกัน รวมไปจนกระทั่งถึง การมี “ผู้ฉวยโอกาส” ไปขอยืมกำลังทหารของกองทัพเวียดนาม มาโค่นล้ม “ฝ่ายตรงกันข้ามทางการเมือง” จนกระทั่งพา “ตัวเอง” ขึ้นสู่อำนาจได้สำเร็จในท้ายที่สุด นั้น ได้ทำให้ ครั้งหนึ่ง “ประเทศกัมพูชา”  แทบไม่ต่างอะไรกับ “นรกบนดิน”

ผู้คน “ชาวเขมร” นับแสนๆคน ที่ทั้ง “อดอยาก สิ้นไร้ไม้ตอก และปราศจากแหล่งพักพิง” ต่างพากัน “หนีตายสุดชีวิต” ในแบบที่ชาวตะวันตกเรียกว่า แทบจะไม่ต่างอะไรกับ “โครงกระดูกเดินได้”

เพื่อมาขอ “พักอาศัย หลบภัยสงครามจากพวกเดียวกัน” ในบริเวณชายแดนของ “ประเทศ” ที่ ณ ปัจจุบัน ลูกหลานของกลุ่มคนเหล่านั้น ก็ยังคงมีความเชื่อว่า “เป็นทั้งผู้รุกรานและชอบขโมยศิลปวิทยา” ไปจาก “ชาวเขมร” จนกระทั่ง เรียกพลเมืองของ ประเทศๆ ที่เคยมาขอพักพิงอาศัยในยามยาก ว่า “เสียม”

 

แล้ว “ชาวเสียม” หรือ “คนไทย” ณ เวลา ที่ “เพื่อนบ้าน” มาขอพักพิงหลบไฟสงคราม เป็นฝ่ายที่ “ได้ประโยชน์ หรือ เสียประโยชน์” จากความเห็นแก่มิตรภาพ และมนุษย์ธรรม ในการโอบอุ้ม “เพื่อนมนุษย์ที่กำลังทุกข์ยาก” บ้างนะ?

วันนี้ “เรา” จึงได้ “รวบรวมข้อมูลต่างๆ” จากรายงานของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่เชื่อมโยง ถึงคำถามเหล่านั้น มาให้ “คุณ” ได้ร่วมกันพิจาณา

เผื่อว่า…บางที “มิตรเพื่อนบ้าน” ที่มีชายแดนยาวติดกัน ถึง 817 กิโลเมตร” กับ ประเทศไทย อาจจะได้ลองกลับไปพิจาณา “ข้อเท็จจริง” เหล่านี้ และมี “มุมมองใหม่ๆ” เกี่ยวกับ “ชาวเสียม” ก็เป็นได้!

 

สงครามของคนเขมร :

อ้างอิงจากข้อมูลของ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR ระบุว่า หลัง “เขมรแดง” สามารถยึดกรุงพนมเปญ และกวาดต้อนผู้คนมากกว่า 2 ล้านคน ไปยังพื้นที่ชนบทอันห่างไกล จากนั้น จึงได้เริ่มมาตรการ “เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์” โดยเฉพาะ “กลุ่มคนผู้มีการศึกษาจำนวนมาก” เพื่อหวังสร้าง “สังคมไร้ชนชั้นในจิตนาการ” ตามแนวคิดของ “นายพล พต”

ขณะเดียวกัน การแบ่งปันอาหารให้เพียงน้อยนิด แต่กลับมีการใช้แรงงานผู้คนที่ไร้ประสบการณ์อย่างหนัก เพื่อทำการเกษตรด้วยเครื่องมือเพียงไม่กี่ชิ้น  เมื่อประกอบกับการที่มี “ไข้มาลาเรียระเบิดอย่างหนัก” ได้ทำให้มีชาวเขมรเสียชีวิต จากทั้ง “ความอดอยาก” และ “โรคระบาด” รวมกันมากกว่า  1.5 ล้านคน!

ส่วน ชาวกัมพูชา ส่วนหนึ่งที่สามารถหลบหนีจาก “ระบบนารวม” ของเขมรแดง ได้ นั้น ค่อยๆเริ่มมาขออาศัยพักพิงที่บริเวณชายแดนไทย ตั้งแต่ปี 1975 เป็นต้นมา

โดยในช่วงแรกนี้ รายงานระบุว่า ประเทศไทย ได้ให้ที่พักพิงแก่ชาวเขมรที่หนีตาย มาในสภาพที่แทบไม่ต่างอะไรกับ “โครงกระดูกเดินได้” มากถึง 30,000 คน

สงครามเขมร-เวียดนาม :

25ธ.ค.1978 “ฮุนเซน” ซึ่งผละจาก “ฝ่ายเขมรแดง” ไปขอความช่วยเหลือจากเวียดนาม ได้นำพากองทัพเวียดนาม กลับมาบุกยึดกรุงพนมเปญ จากฝ่ายเขมรแดงได้สำเร็จ จากนั้น รัฐบาลใหม่ของกัมพูชาภายใต้การหนุนหลังของเวียดนาม จึงได้ถูกสถาปนาขึ้น

อย่างไรก็ดี การบุกยึดประเทศกัมพูชา ของ เวียดนาม ได้กลายเป็นการโหมเชื้อไฟ ให้ “ชาวเขมร” ที่เดิมหวาดกลัวระบบคอมมิวนิสต์ จากน้ำมือเขมรแดงอยู่แล้ว ให้ยิ่งแห่หนีตาย เพื่อมาขอ อาหาร , เสื้อผ้า , การรักษาพยาบาล และ ที่พักพิง บริเวณชายแดนประเทศไทยมากขึ้น

จนกระทั่ง มีจำนวนมากเกินกว่าที่ “รัฐบาลไทย” จะสามารถช่วยเหลือได้ไหว จึงได้ตัดสินใจปิดชายแดนในเดือนมีนาคม ปี 1979 และถัดมาในเดือนมิถุนายน ฝ่ายไทยยังได้ตัดสินใจ “ผลักดัน” ผู้อพยพมากกว่า 40,000 คน กลับไปยังประเทศกัมพูชา ด้วย

หากแต่ความพยายามดังกล่าว ดูเหมือนจะไร้ผล เนื่องจาก ยังคงมีชาวเขมรมากกว่า 250,000 คน ยังคงหลั่งไหลมายังชายแดนไทยอย่างต่อเนื่อง และในจำนวนนี้ ส่วนหนึ่งถูกกวาดต้อนมาโดยฝ่ายทหารเขมรแดง เพื่อหวังใช้เป็น “โล่กำบัง” จากการโจมตีของเวียดนามด้วย

 

ไทยช่วยชาวเขมร :

ตุลาคม ปี 1979 รัฐบาลไทยตัดสินใจ “เปิดชายแดน” อีกครั้ง เพื่อช่วยเหลือ “ชาวเขมรที่ทั้งอดอยากและหนีภัยสงคราม” เพื่อมาขอพักพิงในประเทศไทย ภายใต้คำมั่นสัญญาและการสนับสนุนจาก สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR

ต่อมาในวันที่ 24ต.ค.1979 แกนนำเขมรแดง ทหาร และพลเรือนชาวกัมพูชาชุดแรก มากกว่า 30,000 คน ได้ถูกนำตัวไปอยู่ในสถานที่พักพิง ภายใต้การควบคุม ที่มีชื่อว่า ศูนย์พักพิงจังหวัดสระแก้ว (Sakeo Holding Centre)

จากนั้นในวันที่ 21พ.ย.1979 รัฐบาลไทย ได้เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราว “เขาอีด่าง” ในจังหวัดสระแก้ว (Khao I Dang Holding Centre) ให้กับชาวเขมร ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายเขมรแดง เพื่อใช้หลบภัยสงคราม

ต่อมา ศูนย์พักพิงชั่วคราวต่างๆ ตามแนวชายแดน จึงได้ถูกทยอยเปิดมากขึ้น เพื่อช่วยเหลือ “ชาวเขมรที่กำลังทุกข์ยาก” โดยศูนย์พักพิงชั่วคราว ในจังหวัดสระแก้ว ที่มีชาวเขมรอาศัยอยู่มากที่สุด คือ ศูนย์พักพิงชั่วคราวที่มีชื่อว่า “ไซต์ 2” (Site TWO) ซึ่งมีชาวเขมร อาศัยอยู่รวมกันมากถึง 141,000 คน

ทำให้ จากการประเมินของ ทั้ง UNICEF และ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of Red Cross) หรือ ICRC มีชาวกัมพูชามากกว่า 500,000 คน ที่ได้รับความช่วยเหลือจากการตัดสินใจเปิดชายแดน ของ รัฐบาลไทย ณ สิ้นสุด เดือนธันวาคม ปี 1979

ทั้งนี้ UNHCR และบรรดาชาติตะวันตก ได้ให้ “คำมั่นสัญญา” กับรัฐบาลไทย อย่างหนักแน่นว่า “ศูนย์พักพิงทั้งหมด” จะเป็นเพียงศูนย์ที่ถูกตั้งขึ้นชั่วคราว และชาวเขมรที่อยู่ภายในศูนย์ดังกล่าวทั้งหมด จะต้อง “ถูกส่งกลับประเทศกัมพูชา หรือ “อพยพไปตั้งถิ่นฐานใหม่ยังประเทศที่ 3” ต่อไป

 

ค่ายพักพิงเขมร :

อ้างอิงจากรายงาน Just Waiting to Die? Cambodian refugees in Thailand ของ “โทนี แจ๊กสัน” (Tony Jackson) นักวิจัย ซึ่งได้รับมอบหมายจาก “โครงการอาหารโลก” (World Food Programme) หรือ WFP ให้เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อตรวจสอบผล การปฏิบัติการบรรเทาทุกข์ชายแดนขององค์การสหประชาชาติ (UN Border Relief Operation) หรือ UNBRO ระหว่างวันที่ 20พ.ย. - 22ธ.ค. ปี 1986 ก่อนจะมีการเผยแพร่ต่อสาธารณชน ในเดือนมิถุนายน ปี 1987 ระบุถึง “ศูนย์พักพิงชั่วคราวของชาวเขมรในประเทศไทย” เอาไว้ว่า…

เดือนพฤศจิกายนปี 1986 มีชาวกัมพูชามากกว่า 252,000 คน ที่ UNBRO ระบุว่าเป็น “พลเรือน” ที่พักอาศัยอยู่ใน ศูนย์พักพิงชั่วคราวรวม 8 แห่ง ตามแนวประเทศไทย ที่ติดกับชายแดนกัมพูชา

โดยในจำนวนนี้ ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า เป็นเด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปี ประมาณ 150,000 คน! และอายุต่ำกว่า 5 ปีประมาณ 70,000 คน

หากแต่ที่น่าตกใจมากไปกว่านั้น คือ ภายในศูนย์พักพิงชั่วคราวทั้ง 8 แห่งนี้ มี “อัตราการเกิดสูงที่สุดในโลก” (Birth rates) ถึงประมาณ 5% ต่อปี!

ด้วยเหตุนี้ จำนวนรวมของประชากรในศูนย์ดังกล่าว จึงอาจเพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่งหนึ่ง ของจำนวนรวมทั้งหมด ภายใน 8-10 ปีข้างหน้า!

 

ผู้ดูแลค่ายพักพิง :

อ้างอิงจากรายงาน Just Waiting to Die? Cambodian refugees in Thailand ของ “โทนี แจ๊กสัน” (Tony Jackson) ระบุว่า 5 ค่ายพักพิง ถูกบริหารจัดการภายใน โดยกองกำลังเขมรแดง , 2 ค่าย ถูกบริหารจัดการภายใน โดยกองกำลังปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมร หรือ KPNLF ของ “นายซอน ซาน” ส่วนอีก 1 ค่าย ถูกบริหารจัดการภายใน โดยฝ่ายที่สนับสนุนเจ้าสีหนุ

ซึ่งต่อมาในปี 1982 ทั้ง 3 กลุ่มนี้ ได้รวมตัวกันเป็น “รัฐบาลแนวร่วมกัมพูชาประชาธิปไตย” หรือ CGDK ซึ่งได้รับการรับการยอมรับจากองค์การสหประชาชาติ

โดยฝ่าย KPNLF มีจำนวนคนที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการมากที่สุด คือ มากกว่า 151,000 คน อันดับที่ 2 คือ ฝ่ายเขมรแดง 59,000 คน และฝ่ายเจ้าสีหนุ 41,000 คน

ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวระบุว่า ค่ายพักพิงที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการภายในของเขมรแดง นั้น มักจะไม่อนุญาติให้เจ้าหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติ หรือ กลุ่ม NGO เข้าไปตรวจสอบภายในค่าย หรือ หากอนุญาตก็จะอนุญาตให้เข้าไปได้เพียงบริเวณรอบนอก หรือ ให้เวลาเพียงไม่เกิน 10 นาที

ในขณะที่ การจัดส่งอาหาร นั้น สามารถทำได้ ด้วยการให้ทหารไทย นำไปส่งที่บริเวณหน้าทางเข้าค่ายเท่านั้น

ทั้งนี้ “โทนี แจ๊กสัน” ระบุในรายงานว่า เมื่อเข้าไปในค่าย เขาพบผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังปลูกข้าวในทุ่งนา โดยมีทหารเขมรแดงติดอาวุธคอยควบคุมอยู่ใกล้ๆ

ส่วนค่ายที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ KPNLF และ เจ้าสีหนุ ซึ่งอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ จากองค์การสหประชาชาติ เข้าตรวจสอบได้เฉพาะในช่วงกลางวัน นั้น “โทนี แจ๊กสัน” ระบุว่า “ผู้ชายส่วนใหญ่ ถูกจัดให้เป็น “กลุ่มติดอาวุธ”

ทั้งนี้ ค่ายพักพิงที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของเจ้าสีหนุ นั้น “โทนี แจ๊กสัน” ระบุว่า เป็นค่ายที่มีระเบียบและมีมาตรการควบคุมที่ผ่อนคลายที่สุด อีกทั้ง ยังได้รับการสนับสนุนในเรื่องการบริจาคอาหารจากชาติตะวันตกมากที่สุดด้วย

ส่วน ไซต์ 2 ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ “เขมรแดง” นั้น มีการบริหารจัดการที่ย่ำแย่ที่สุด และยังมักขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง จนเป็นเหตุให้ องค์การสหประชาชาติ ต้องใช้เงินมากถึง 170,000 ดอลลาร์สหรัฐ (5.5ล้านบาท) ต่อเดือน เพื่อจัดหาน้ำให้พอเพียงกับ “ผู้พักพิง”

ซึ่งด้วยสภาพความเป็นอยู่ที่ “ย่ำแย่” เช่นนี้ ในช่วงสุดสัปดาห์ จึงมักมี “ชาวไทย เดินทางนำอาหาร ผลไม้ และสิ่งของบริจาคต่างๆ มามอบให้กับชาวเขมรในไซต์ 2 อยู่เสมอๆ”

ช่วยเขมรไทยได้หรือเสีย :

มีบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจจาก “รายงานวิจัยนโยบายของรัฐบาลไทยต่อผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา ระหว่างปี 1978-98” ของ “คุณมณฑ์หทัย ปุณฑริกาภา” อดีตนักศึกษาโครงการบัณฑิตศึกษาด้านการพัฒนา ของ ศูนย์พัฒนาระดับชาติ มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ซึ่งเผยแพร่ในปี 1999 ระบุว่า…

การให้ความช่วยเหลือผู้อพยพชาวเขมร สร้างภาระทางการคลังแก่ประเทศไทย ที่ในเวลานั้น ประชากรมากกว่า 90% อาศัยอยู่ในชนบทและมีฐานะยากจน เนื่องจากรัฐบาลไทย ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก สำหรับการแจกจ่ายอาหาร รวมถึงการให้บริการทางการแพทย์ แก่ ผู้อพยพชาวเขมร ตั้งแต่ปี 1975

หรือ ก่อนหน้าที่ องค์การสหประชาชาติ และ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of Red Cross) หรือ ICRC จะเริ่มเข้ามาช่วยเหลือด้านมนุษย์ธรรรมแก่ผู้อพยพเหล่านั้นถึง 4 ปี (เริ่มสนับสนุนในปี 1979) แทนที่จะได้จัดสรรงบประมาณเหล่านั้น “มาให้ความช่วยเหลือคนไทย”

ขณะเดียวกัน การจัดซื้อสินค้าจำนวนมากจากตลาดท้องถิ่น เพื่อนำไปช่วยเหลือชาวเขมรอพยพ ยังทำให้เกิด “ปัญหาขาดแคลนสิ่งของอุปโภคบริโภค และเงินเฟ้อ” กับ บรรดาชาวไทยที่อาศัยอยู่ใกล้กับศูนย์พักพิงเหล่านั้นด้วย เนื่องจาก “ความต้องการมีมากกว่าอุปทาน”

จนถึงขั้นทำให้ ชาวไทยบางส่วน มีเงินไม่เพียงพอสำหรับการหาเลี้ยงครอบครัวได้อีกต่อไป และมีชีวิตความเป็นอยู่ “แย่เสียยิ่งกว่าผู้อพยพชาวเขมร” เสียอีก!

นอกจากนี้ บรรดาชาวเขมรอพยพ ยังมักก่อปัญหาด้วยการ “ตัดไม้ทำลายป่าอย่างผิดกฎหมาย” ในพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่ลุ่มน้ำของประเทศไทย จนส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบนิเวศและความสามารถในการผลิตสินค้าเกษตร ซึ่งคิดเป็นมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ ของ เกษตรกรไทย

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวให้กับชาวเขมร คนไทยในพื้นที่บางส่วน ยังถูกบังคับให้ออกจากบ้านและพื้นที่เกษตรกรรมอันอุดมสมบูรณ์ ไปยังพื้นที่ที่มีคุณภาพดินแย่กว่าเดิม จนทำให้พวกเขาต้องทำงานหนักเพื่อปรับปรุงดิน รวมถึงเพาะเลี้ยงสัตว์ได้อย่างยากลำบากกว่าเดิมด้วย

ขณะเดียวกัน การที่รัฐบาลไทย มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจำนวนมาก มาคอยสนับสนุน เรื่องการบริหารค่ายผู้ลี้ภัยและศูนย์พักพิงชาวเขมร ยังทำให้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้น มีภาระหน้าที่เพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งบางครั้ง “ไม่มีเวลา” มาดูแลคนไทยด้วยกัน

ภาระของคนไทย :

“รายงานวิจัยนโยบายของรัฐบาลไทยต่อผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา ระหว่างปี 1978-98” ของ “คุณมณฑ์หทัย ปุณฑริกาภา” ยังได้ระบุถึงเหตุผลของรัฐบาลไทย ต่อการที่ “บรรดาชาติตะวันตก” แสดงความไม่พอใจที่รัฐบาลไทย มีการปรับโครงสร้างเพื่อจัดการผู้ลี้ภัยชาวเขมร ในปี 1982 เนื่องจากขาดแคลนทั้งกำลังคน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จนกระทั่งนำไปสู่ “การลดจำนวนผู้อพยพชาวเขมร” ในเดือนกันยายนปีเดียวกันนั้น เอาไว้อย่างน่าสนใจด้วยว่า…

ปัจจัยสำคัญ คือ บรรดาชาติตะวันตก ที่เคยให้คำมั่นกับรัฐบาลไทยว่า จะยอมรับชาวเขมรให้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศตัวเอง ได้เริ่มลดจำนวนการรับชาวกัมพูชา ย้ายถิ่นฐานลงอย่างมาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยอ้างเรื่องกระบวนการพิจารณาที่ล่าช้า จนส่งผลให้มีจำนวนลี้ภัยชาวเขมรจำนวนมาก “ตกค้างอยู่ในประเทศไทย”

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น บรรดาชาติตะวันตก ยังมัก “เลือกเฉพาะชาวเขมรที่มีทักษะและมีการศึกษาที่ดี ให้ย้ายไปอยู่ในประเทศตัวเอง” และทิ้งชาวเขมรที่ขาดทักษะและขาดความรู้ ให้เป็นภาระในการดูแลของประเทศไทย

ขณะเดียวกัน “การคงอยู่” ของ ค่ายอพยพและศูนย์พักพิงต่างๆ ยังกลายเป็นแรงดึงดูดชั้นดีให้ “ชาวเขมร” หลั่งไหลมายังประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อหวังแสวงหา ชีวิตที่ดีกว่า มีอาหารกินครบ 3 มื้อ รวมถึง ยังมีโอกาสสำหรับการย้ายไปยังประเทศที่ 3 ในแบบที่อาจไม่รู้จักจบสิ้นด้วย

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ จากบทความอันแสนยาวยืด “คุณ” มีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้าง?

 

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม :

สำรวจวงจรเชื่อมผลประโยชน์ สายใยที่ยึดโยงตระกูลฮุน (ชมคลิป)

สำรวจวีรเวร ที่ไม่ ใช่วีรกรรม BHQ องค์รักษ์ประจำตัว ฮุนเซน (ชมคลิป)

เรียนรู้ถึงตัวตนของฮุนเซน ผ่านการดิ้นรนเพื่อไปสู่อำนาจ (ชมคลิป)

จับ กริพเพน เทียบ F-35 และแนวคิดพึ่งตัวเองของสวีเดน (ชมคลิป)

ย้อนรอย จลาจลเผาสถานทูตไทย บทเรียนข่าวเท็จ กัมพูชา ปี2546 (ชมคลิป)

ย้อนสงครามไทย-กัมพูชา 2554 BM 21 VS ปืนใหญ่ “บิ๊กตู่” ลั่น อยากรบก็รบ! (ชมคลิป)


You might be intertested in this news.

Mostview

5 ปมสั่งตาย “แคล้ว ธนิกุล” เจ้าพ่อนครบาลกับพระสมเด็จวัดระฆัง ที่หายไป?

เบื้องหน้า เบื้องหลัง 117 นัด ดับ เจ้าพ่อนครบาล “แคล้ว ธนิกุล” 5 ปมสั่งตาย กับพระสมเด็จวัดระฆัง กับข่าวลือเรื่องหนังเหนียว …

รีวิว “Eden สวรรค์คนบาป” ดิบ ดิ่ง เร้าร้อน ล่อลวง

รีวิว “Eden สวรรค์คนบาป” ดิบ ดิ่ง เร้าร้อน ล่อลวง

เปิดประวัติตู้แช่เวียดนาม การต่อสู้ที่อาจมาถึงจุดจบ (ชมคลิป)

เปิดประวัติตู้แช่เวียดนาม การต่อสู้ที่อาจมาถึงจุดจบ (ชมคลิป)

พายุไต้ฝุ่น “คาจากิ” จ่อถล่มไหหลำ-ฮานอย เตือน! ไทยเจอฝนหนัก 24-27 ส.ค.

เตือน พายุไต้ฝุ่น “คาจากิ” (ปลาญี่ปุ่น) ถล่ม ไหหลำ ต่อ ด้วยฮานอย ส่วนไทย จะโดนอิทธิพลและคาดว่าฝนจะตกหนัก 24-27 ไล่ตั้งแต่ภาคกลาง อีสาน และเหนือ…

เมื่อความรู้ลงถึงชุมชน ช่วยเกษตรกร "บ้านกูแบสีรา" ทำจริงขายได้ มีกินมีใช้

"ทำจริงทำได้ ขายได้มีกินมีใช้" ตัวอย่าง "บ้านกูแบสีรา" จ.ปัตตานี หลังขยายผลองค์ความรู้สู่ชุมชน ช่วยเกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รายได้เพิ่ม 500 บาท/สัปดาห์ จากการทำเกษตรผสมผสาน ปลูกผักอินทรีย์ส่งขายตลาดชุมชนใกล้เคียง เสริมการทำนาข้าว สวนยางพารา และไม้ผล

TrustNEws Line