วันจันทร์, มิถุนายน 16, 2568

ยุโรปจะรับมือรัสเซียอย่างไร ในวันที่สหรัฐฯหันหลังให้

by Trust News, 3 มีนาคม 2568

ยุโรปจะรับมือรัสเซียอย่างไร ในวันที่สหรัฐฯหันหลังให้

หลังการปะทะคารมอย่างดุเดือดระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และ โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี้ ประธานาธิบดียูเครน จนไฟแทบจะลุกไหม้ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว ซึ่งจบลงด้วยการไม่ต่างอะไรกับการถูกตะเพิดออกนอกบ้านผู้นำสหรัฐฯ ด้วยการยกเลิกการเลี้ยงอาหารกลางวัน พร้อมกับประกาศยุติการสนับสนุนยูเครน ในการทำสงครามกับรัสเซียอย่างชนิดไร้เยื้อใย กระทั่งกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก

หากแต่เมื่อผ่านไปอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา เมื่อประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี้ เดินทางถึงบ้านพักเลขที่ 10 ถนนดาวนิง ในกรุงลอนดอน สิ่งที่ผู้นำยูเครนได้รับ กลับแลดูช่างแตกต่างจากการต้อนรับที่ทำเนียบขาวอย่างชัดเจน เพราะนอกจาก เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ จะเข้าสวมกอดอย่างอบอุ่น โดยไม่ยึดติดกับการที่ผู้นำยูเครนยังคงไม่ยินดีสวมสูทมาเข้าพบแล้ว!

เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ ยังได้ให้คำมั่นกับ ประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี้ ด้วยว่า สหราชอาณาจักรยังคงไว้วางใจในตัวผู้นำยูเครน และจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อไป แถมตบท้ายด้วยการให้คำมั่นว่าจะมอบแพ็ตเก็ตเงินกู้มูลค่า 2,260 ล้านปอนด์ (97,273ล้านบาท) สำหรับการเพิ่มขีดความสามารถด้านกลาโหมแก่ยูเครนเสียด้วย!

“เหตุใดในสายตาที่มองยูเครนผ่านเลนส์ของสหรัฐฯและยุโรปในเวลานี้ จึงแตกต่างกัน?”  

วันนี้ “เรา” มีบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง “Bruegel” ซึ่งเป็นสำนักวิจัยและวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจชั้นแนวหน้าของยุโรป และ “Kiel Institute” สถาบันวิจัยด้านเศรษฐกิจชั้นนำของประเทศเยอรมนี มาให้คำตอบที่น่าสนใจกันเวลานี้ว่า…. หากไร้ซึ่งสหรัฐฯสนับสนุนแล้ว ยุโรปควรเดินหน้าต่อไปเช่นไร สำหรับการหยุดยั้งการแผ่อิทธิพลของเคลมลิน ในกรณีที่ทั้งมีหรือไม่มียูเครนเป็นส่วนหนึ่งของสมการ?

“ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ยุโรปต้องเสริมกำลังทหารอย่างน้อย 300,000 นาย รวมถึงเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมอย่างน้อย 250,000 ล้านยูโร (8.8ล้านล้านบาท) ต่อปี เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับยับยั้งการรุกรานของรัสเซีย”

บทสรุปจากการวิเคราะห์ของ “Bruegel” และ “Kiel Institute”

รัสเซียแข็งแกร่งถึงขนาดที่ยุโรปจำเป็นต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางด้านกำลังทหารโดยเร็วขนาดนั้นจริงหรือ? “เรา” ลองไปสำรวจข้อมูลและมุมจากบทวิเคราะห์ที่ว่านี้ด้วยกัน…

1. สงครามในยูเครน ทำให้กองทัพรัสเซียแข็งแกร่งขึ้น :

กองทัพรัสเซีย ณ สิ้นสุดปี 2024 แตกต่างจากกองทัพรัสเซียที่บุกเข้าสู่ประเทศยูเครนในปี 2022 มาก เนื่องจากสงครามทำให้เกิดการระดมทรัพยากร สำหรับการเอื้อต่ออุตสาหกรรมทางการทหารอย่างกว้างขวาง ด้วยเหตุนี้ กองทัพรัสเซียจึงมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงมีประสบการณ์ในสนามรบ ที่ช่วยเสริมสร้างให้กองทัพแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย

โดยจากการประเมินเบื้องต้น กองทัพรัสเซียในช่วงสิ้นปี 2024 มีกำลังพลถึง 700,000 นาย ซึ่งมากกว่ากำลังพลที่บุกเข้าประเทศยูเครนในปี 2022 ยิ่งไปกว่านั้นในด้านการผลิตอาวุธยุทธภัณฑ์ของรัสเซีย ยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย โดยในปี 2024 เพียงปีเดียว รัสเซียสามารถผลิตรถถังเข้าประจำการได้มากถึง 1,550 คัน หรือเพิ่มขึ้น 220% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2022 , ผลิตรถหุ้มเกราะ 5,700 คัน หรือเพิ่มขึ้น 150% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2022 ขณะที่การผลิตปืนใหญ่และอาวุธยิงระยะไกลทุกประเภท เพิ่มขึ้น 435% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2022

ขณะเดียวกัน อาวุธที่ผลิตใหม่เหล่านี้ ยังเป็นอาวุธที่มีการปรับปรุงทางเทคโนโลยีให้มีความทันสมัยมากขึ้น เพื่อนำใช้มาทดแทนอาวุธคงคลังตั้งแต่เมื่อสมัยอดีตสหภาพโซเวียต ซึ่งรัสเซียนำมาใช้ในช่วงต้นๆสงครามยูเครนด้วย

หากแต่สิ่งที่น่าเป็นกังวลในเรื่องศักยภาพทางการของเคลมลินในเวลานี้ คือ ความรุดหน้าในเรื่องเทคโนโลยีโดรนทางการทหารของรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันสามารถลดการพึ่งพาจากอิหร่านได้แล้ว

ทั้งนี้ จากการประเมินของกองกำลังป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO ในเรื่องความเสี่ยงจากการถูกรุกรานโดยรัสเซียนั้น เบื้องต้นมีการประเมินเอาไว้ว่า กองทัพรัสเซียจะมีความพร้อมสำหรับการปฏิบัติการทางการทหารดังกล่าวภายในระยะเวลา 3 - 10 ปี อย่างไรก็ดี ระยะเวลาที่ว่านี้ อาจเร็วขึ้นกว่านั้น จากปฏิบัติการซ้อมรบเชิงยุทธศาสตร์ร่วมระหว่างรัสเซียและเบลารุส ที่เรียกว่า Zapad  

2. เพราะอะไรยุโรป จึงต้องสนับสนุนยูเครนต่อไป :  

บทวิเคราะห์ชิ้นนี้ ยืนยันอย่างชัดเจนว่า สิ่งสำคัญลำดับแรกสุด คือ ยุโรปจะต้องสนับสนุนยูเครนต่อไป เพราะกองทัพยูเครนที่ผ่านการรบกับรัสเซียมาอย่างโชกโชน แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดแล้วว่า สามารถป้องปรามการรุกคืบของรัสเซียต่อยุโรปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะทางเลือกอื่น โดยเฉพาะการทำข้อตกลงเจรจาสันติภาพระหว่างสหรัฐฯและรัสเซีย ถือเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ เนื่องจากการรับประกันสันติภาพของประธานาธิบดีวลาดีเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย นั้น “ไร้ความน่าเชื่อถือ”

ดังนั้น ยุโรปจึงยังต้องคงการสนับสนุนในเรื่องการจัดหาอาวุธเพิ่มเติมให้กับยูเครนต่อไป เพื่อให้แน่ใจได้ว่ากองทัพยูเครนจะยังคงขีดความสามารถในการทำสงครามกับรัสเซียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกัน จากการประเมินในเบื้องต้น หากสหรัฐฯปล่อยมือจากยูเครนขึ้นมาจริงๆ ยุโรป อาจต้องทุ่มเทงบประมาณถึง 250,000 ล้านยูโรต่อปี (หรือคิดเป็น 3.5% ของ GDP) สำหรับการเพิ่มขนาดและศักยภาพของกองทัพในการป้องกันตัวเองจากรัสเซียด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : RareEarthบำเหน็จสงคราม สำคัญต่อสหรัฐฯแค่ไหน? 

3. ยุโรปต้องทำอย่างไร หากสหรัฐฯทิ้งยูเครน :  

ในกรณีที่สหรัฐละทิ้งยูเครน สิ่งที่สหภาพยุโรปและพันธมิตร รวมถึงสหราชอาณาจักรและนอร์เวย์ จะต้องดำเนินการทันที คือ “การเพิ่มจำนวนกำลังพลประจำการ” โดยทันที

ส่วนคำถามที่ว่า กำลังพลประจำการที่ว่านี้ ควรมีจำนวนเท่าไหร่นั้น อ้างอิงจากการประเมินโดย NATO ในปี 2024 ระบุว่า กรณีที่รัสเซียรุกรานยุโรปด้วยกำลังทหาร กองทัพสหรัฐฯที่มีกำลังพลประจำการอยู่ทั่วยุโรปรวม 100,000 นาย จะต้องได้รับการเสริมกำลังทันทีอีกอย่างน้อย 200,000 นาย รวมถึงรถหุ้มเกราะซึ่งมีขีดความสามารถเหมาะสมกับสมรภูมิบนแผ่นดินยุโรปอีกจำนวนหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ ในกรณีที่ไม่มีกองทัพสหรัฐฯ คอยให้การสนับสนุนขึ้นมาจริงๆ ยุโรปจะต้องมีกำลังพลเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยที่สุด 300,000 นาย รวมถึงรถถังและยานเกราะอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อทดแทนส่วนที่ขาดหายไปจากกองทัพสหรัฐ

4. ถ้าไม่มีกองทัพสหรัฐฯ ยุโรปสามารถหยุดยั้งกองทัพรัสเซียได้หรือไม่ :

บทวิเคราะห์นี้ชี้ชัดว่า ขีดความสามารถทางการรบของกำลังพล 300,000 จากกองทัพสหรัฐฯ นั้น “มีความแตกต่าง” จากกำลังพลของฝ่ายยุโรปในเวลานี้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะกองทหารสหรัฐ นั้น มีความพร้อมทั้งในแง่อาวุธยุทโธปกรณ์ , การสนับสนุนทางยุทธศาสตร์ , ความเชี่ยวชาญทางการรบ รวมถึงความเป็นเอกภาพและเข้มงวดในสายการบังคับบัญชามากกว่า ฝ่าย NATO ที่เป็นการรวมตัวของกองทัพจากหลายชาติ

ดังนั้น แม้ยุโรปจะสามารถชดเชยกำลังทหารจำนวน 300,000 นาย ในส่วนที่ขาดหายไปจากกองทัพสหรัฐฯได้ก็จริง หากสิ่งที่ต้องเร่งปรับปรุงตามมาคือ การค้นหาวิธีในการปรับปรุงการประสานงานสายการบังคับบัญชาทางการทหารให้รวดเร็วมากขึ้น เพราะการตัดสินใจล่าช้าแม้แต่เพียงเสี้ยววินาทีนั้น มีผลอย่างยิ่งต่อการต่อสู้ในสมรภูมิ

ขณะเดียวกัน ในด้านการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ นั้น หากอ้างอิงจาก กองพลที่ 3 (US Army III Corps) ของกองทัพสหรัฐ ซึ่งถูกใช้เป็นกำลังพลหลัก ในการป้องกันยุโรปจากการคุกคามของรัสเซียในทะเลบอลติก นั้น เบื้องต้นกำลังพลดังกล่าว มีรถถังประจำการถึง 1,400 คัน , ยานเกราะ 2,000 คัน และ ปืนใหญ่อีก 700 กระบอก (ยังไม่รวมปืนครก และเครื่องยิงจรวดอีกนับไม่ถ้วน)

ซึ่งทั้งขนาดและศักยภาพทางการรบเช่นนี้ สูงกว่ากองกำลังภาคพื้นดินของกองทัพฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และอังกฤษ รวมกัน ณ ปัจจุบันเสียอีก

ดังนั้น หากไม่มีกองทัพสหรัฐช่วยค้ำยันให้ ยุโรปจะต้องเร่งจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ในระดับเดียวกันมาเป็นเกราะป้องกันจากรัสเซียแทน นอกจากเหนือจากอาวุธในคลังแสงที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. จำนวนอย่างน้อย 1 ล้านนัด ซึ่งถือเป็นจำนวนขั้นต่ำที่เพียงพอ สำหรับการรบในระดับความเข้มข้นสูง ในเวลา 90 วัน นอกจากนี้ ยุโรปจะต้องเพิ่มขีดความสามารถด้านการขนส่งและป้องกันภัยทางอากาศ , ขีปนาวุธ , โดรนสงคราม ตลอดจนศักยภาพด้านการสื่อสารและข่าวกรอง ให้ใกล้เคียงกับกองทัพรัสเซียในปัจจุบันด้วย

5. ถ้าไม่มีกองทัพสหรัฐฯ ใครควรเป็นผู้นำของยุโรป :

บทวิเคราะห์นี้ชี้ชัดว่า เยอรมนีควรแสดงออกถึงความมุ่งมั่นที่ชัดเจนในเรื่องการป้องกันยุโรปจากเงื้อมมือรัสเซียได้แล้ว โดยเริ่มจากการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมประจำปีจาก 80,000 ล้านยูโร (2.8ล้านล้านบาท) เป็น 140,000 ล้านยูโร (4.9ล้านล้านบาท) ต่อปี หรือ คิดเป็นประมาณ 3.5% ของ GDP รวมถึงเพิ่มกำลังพลประจำการอีกเกือบ 100,000 นายเป็นอย่างน้อย **

นั่นเป็นเพราะในช่วงที่ผ่านมา เยอรมนีได้สร้างความผิดหวังให้กับบรรดาพันธมิตรในยุโรปมาโดยตลอด ดังจะเห็นได้จากคำมั่นสัญญาในเรื่องการเพิ่มกำลังทหารให้กับ NATO จำนวน 40,000 นาย ตั้งแต่ปี 2022 หากแต่จนถึงปัจจุบัน เยอรมนีกลับยังคงไม่สามารถทำได้ตามที่ได้ให้คำมั่นเอาไว้  

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ จากบทความอันแสนยาวยืด “คุณ” มีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้าง?

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม :

หยุดทำแบบนี้ได้ไหม? เสียงร้องขอเซเลปเกาหลี

อ่อนแอ ล่าช้า ไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจัยฉุดดีล NISSAN-HONDA ล่ม

เกียรติตำรวจของจีน...หลิวจงอี้มือปราบคอลเซนเตอร์

เจาะกลยุทธ์ อีลอนมัสก์ ซื้อOpenAIทำไมแพงลิบลิ่ว

ตัวตน&คมคิด เหลียงเหวินเฟิง ก่อนปฏิบัติการเพิร์ลฮาร์เบอร์


You might be intertested in this news.

Mostview

โบอิ้ง 787 แอร์อินเดียแจ้ง "MAYDAY" ก่อนเครื่องตกใส่เขตชุมชนพร้อม 242 ชีวิต

เครื่องบินโบอิ้ง 787 ดรีมไลเนอร์ส ของแอร์อินเดีย เที่ยวบิน AI 171 เส้นทางอาเมดาบัด-ลอนดอน แกตวิค ตกกระแทกพื้นกลางย่านชุมชน หลังเพิ่งออกจากสนามบินพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 242 คนบนเครื่อง ทั้งนี้ มีรายงานว่านักบินแจ้งฉุกเฉิน เมย์เดย์ ก่อนร่วงพื้น

พร้อมตั้งแต่เมื่อวาน ทอ.โชว์ติดระเบิดนำวิถี KGGB เขี้ยวเล็บ เอฟ-16 ฝูง 103 โคราช

กองทัพอากาศไทย เผย วิดีโอคลิปบนเฟซบุ๊ก โชว์การติดตั้งอาวุธให้กับเครื่องบินขับไล่ เอฟ-16 ฝูงบิน 103 นครราชสีมา ทั้งการโหลดกระสุนขนาด 20 มม.การติดตั้งมิสไซล์นำวิถีไซด์วายเดอร์ และ อาวุธใหม่ ระเบิดร่อนนำวิถีด้วย GPS แบบ KGGB ที่ซื้อจากเกาหลีใต้

"ตั๊ก - สุนารี - ฮาย” 3 เพื่อนซี้พร้อมฟาด! ใน “สามตัวบน คอนเสิร์ต”

ตั๊ก - สุนารี - ฮาย” 3 เพื่อนซี้พร้อมฟาด! ใน “สามตัวบน คอนเสิร์ต” จองบัตร 14 มิถุนายนนี้ ....

แนวโน้มราคาทองคําวันนี้ (10มิ.ย.68) เก็งทําไรในกรอบ

แนวโน้มราคาทองคําวันนี้ (10มิ.ย.68) เก็งทําไรในกรอบ

เครื่องบิน 787 แอร์อินเดียตกทับหอพักแพทย์ พบร่างแล้ว 204 ศพ มีรอดชีวิต 1 ราย

ความคืบหน้าเหตุ โบอิ้ง 787-8 ดรีมไลเนอร์สของแอร์อินเดีย เที่ยวบิน AI 171 เส้นทางอาเมดาบัด-ลอนดอน แกตวิค พร้อมคนบนเครื่อง 242 ชีวิตตกที่เมืองอาเมดาบัด โดยซากเครื่องทับหอพัก นศ.แพทย์ ล่าสุด พบผู้โดยสารรอดชีวิต 1 รายเป็นชายวัย 38 ปี ขณะที่พบศพแล้ว 204 ศพ

TrustNEws Line