ปลิดชีพประธานโอโชฟู้ดเซอร์วิส ปริศนาคดีดังญี่ปุ่นที่ยังรอคำตอบ
by Trust News, 15 พฤษภาคม 2568
ปลิดชีพประธานโอโชฟู้ดเซอร์วิส ปริศนาคดีดังญี่ปุ่นที่ยังรอคำตอบ
หนึ่งในคดีที่ยังคงเต็มไปด้วยปริศนาของประเทศญี่ปุ่น ที่แม้ปัจจุบัน...เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานถึง 11 ปีแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจของญี่ปุ่น ก็ยังคงไม่สามารถแก้ไขปริศนาฆาตกรรมนี้ ให้เกิดความชัดเจนขึ้นมาได้ว่า....
เพราะเหตุใด... “ทาคายูกิ โอฮิงาชิ” (Takayuki Ohigashi) ชายชรานักธุรกิจผู้เป็นที่เคารพรักของพนักงานและชาวญี่ปุ่น วัย 72 ปี ประธานรุ่นที่ 4 ของบริษัทโอโช ฟู้ด เซอร์วิส (Ohsho Food Service) เชนร้านอาหารชื่อดังระดับประเทศ “เกี๊ยวซ่า โอโช” (Gyoza Ohsho) ซึ่งปัจจุบันมีสาขารวมกันมากกว่า 500 สาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ
จึงได้ถูกคนร้าย ซึ่งเป็นสมาชิกของแก๊งอาชญากร เพียงแก๊งเดียวในประเทศญี่ปุ่น ที่ถูกรัฐบาลกำหนดให้เป็น “แก๊งอาชญากรที่อันตรายอย่างยิ่ง” (ณ เวลานั้น) ลงมือสังหารอย่างเหี้ยมโหด ที่บริเวณหน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัทในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 19ธ.ค.2013
อะไรที่อยู่เบื้องหลัง “การปลิดชีพ” ท่านประธานผู้มีชีวิตสุดเรียบง่าย รวมถึงมีคติประจำใจที่ว่า “จงทำงานให้หนักจนเหงื่อไหลโทรมกาย” และให้ความสำคัญกับผู้คนตามหลักการที่ว่า “ลูกค้าคืออันดับหนึ่ง พนักงานคืออันดับถัดมา ส่วนตัวซึ่งเป็นประธานบริษัท อยู่ในลำดับล่างที่สุด”
จนช่วยพลิกฟื้นให้ บริษัทโอโช ฟู้ด เซอร์วิส ซึ่งเคยใกล้ล้มละลาย เนื่องจากมีตัวเลขหนี้สินรวมดอกเบี้ยสูงถึง 47,000 ล้านเยน (10,645ล้านบาท) ในปี 2000 กลับมากลายเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการอันแข็งแกร่ง และมียอดขายสูงถึง 84,700 ล้านเยน (19,184ล้านบาท) ต่อปี ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีถัดมา กลายเป็นคดีปริศนาดำมืดของประเทศญี่ปุ่น มาจนถึงปี 2025 ได้

วันนี้ “เรา” ลองไปพิจารณาข้อมูลแวดล้อมต่างๆ เพื่อหาทางคลี่คลายปริศนา? ที่ว่านี้ด้วยกัน…
จุดเริ่มต้นคดีปริศนา :
โดยปรกติแล้ว ประธานทาคายูกิ โอฮิงาชิ ของบริษัทโอโช ฟู้ด เซอร์วิส จะเดินทางมาถึง สำนักงานใหญ่ของ บริษัทโอโช ฟู้ด เซอร์วิส ที่เมืองเกียวโต ในเวลา 05.30 น. ก่อนจะใช้ไม้กวาดทำความสะอาดหน้าทางเข้าบริษัท ก่อนเริ่มต้นการทำงานตั้งแต่ 06.30 น. ในทุกๆวัน
หากแต่ ช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 19ธ.ค.2013 กลับมีบางอย่างที่ “ผิดปกติ” ไป
เพราะในขณะที่ ประธานทาคายูกิ ซึ่งเพิ่งขับรถมาจอด ที่บริเวณลานจอดรถบริเวณสำนักงานใหญ่ บริษัทโอโช ฟู้ด เซอร์วิส ในเวลาประมาณ 05.45 น. กำลังก้าวลงจากรถยนต์ จู่ๆก็มีคนร้ายบุกเข้ามากระหน่ำยิงเขาในระยะประชิด ถึง 4 นัด เข้าที่บริเวณท้องและหน้าอก จนเสียชีวิตคาที่
จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ไม่มีพยาน หรือ กล้องวงจรปิด ที่สามารถบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ รวมถึง ยังไม่พบอาวุธที่ใช้สังหารประธานทาคายูกิ
ด้วยเหตุนี้ ในเบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดเกียวโต จึงสันนิษฐานว่า คนร้ายน่าจะเป็นมืออาชีพ เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธ อีกทั้งน่าจะแอบติดตามผู้ตายมาเป็นเวลานาน จนกระทั้งรู้กิจวัตรประจำวันของประธานโอโช ฟู้ด เซอร์วิส เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกัน การที่คนร้ายไม่แตะต้องทรัพย์สินภายในรถยนต์ โดยเฉพาะเงินสดหลายแสนเยน ที่อยู่ในตัวผู้ตาย ทำให้ในช่วงแรกๆ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงคาดว่า เหตุผลในการลงมือ “น่าจะเป็นเพราะ คนร้ายมีความแค้นส่วนตัวกับผู้ตาย”
ถึงแม้ว่า คนรอบข้างผู้ตาย ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คนอย่าง ประธานทาคายูกิ โอฮิงาชิ ไม่มีทางที่จะไปเป็นศัตรูกับใครได้ก็ตาม
การไล่ล่าหาตัวคนร้าย :
หลังการตรวจสอบกล้องวงจรปิด ในพื้นที่ใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ ซึ่งทำให้เจ้าที่ตำรวจพบบุคคลต้องสงสัย และรถยนต์ทะเบียนจังหวัดฟุคุโอกะ รวมถึง รถจักรยานยนต์ที่ถูกขโมยมา ซึ่งไปป้วนเปี้ยนอยู่ที่หน้าสำนักงานใหญ่ บริษัทโอโช ฟู้ด เซอร์วิส หลายวัน ก่อนคนร้ายลงมือ
รวมถึงยังน่าจะถูกคนร้ายใช้ในการหลบหนีด้วย เนื่องจากตรวจพบคราบเขม่าดินปืน อีกทั้งยังถูกนำไปทิ้งห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 2 กิโลเมตร หลังการสังหาร
เมื่อประกอบเข้ากับผลตรวจ DNA จากก้นบุหรี่ 2 มวน ที่เก็บได้ใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ ซึ่งพบว่าตรงกับ “ผู้ต้องสงสัย” ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มอาชญากรที่อันตรายที่สุด กลุ่มหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น
ทั้งหมดนี้ จึงถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการจับกุม “นายยูคิโอะ ทานากะ” วัย 58 ปี สมาชิกอาวุโสของแก๊งคูโดไค (Kudo-Kai) ในข้อหาฆาตกรรมและละเมิดกฎหมายควบคุมอาวุธปืน เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2022 ที่ผ่านมา
หลังระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมกันมากกว่า 260,000 นาย ทำงานอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อหาทางคลี่คลายคดีดังกล่าว
ความน่ากลัวของแก๊งคูโดไค :
แก๊งคูโดไค ถือเป็นกลุ่มอาชญากรที่อันตรายที่สุดกลุ่มหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น จนกระทั่งถูกกำหนดให้เป็น “แก๊งอาชญากรที่อันตรายอย่างยิ่ง” ตามกฎหมายต่อต้านองค์กรอาชญากรรม ซึ่งเริ่มบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2012
ทั้งนี้ “แก๊งคูโดไค” ซึ่งมีที่ตั้งสำนักงานและสร้างอิทธิพล อยู่ที่เมืองคิตะคิวชู จังหวัดฟุคุโอกะ นั้น จากการประเมินเบื้องต้น คาดว่า น่าจะมีจำนวนสมาชิกมากกว่า 500 คน (ณ ปี 2013)
และในอดีตที่ผ่านมา สมาชิกในแก๊งหลายต่อหลายคน ได้เข้าไปพัวพันคดีอาชญากรรมหลายคดี โดยเฉพาะคดีฆาตกรรมและเรียกค่าคุ้มครอง
นอกจากนี้ สมาชิกแก๊งคูโดไค ยังขึ้นชื่อลือชาเรื่องความสามัคคีและจงรักภักดี จากการที่จะไม่ยอมปริปากเปิดเผยความลับใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภายในองค์กร กับทางเจ้าหน้าที่รัฐด้วย
ด้วยเหตุนี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2024 ที่ผ่านมา สำนักข่าว NHK รายงานว่า ศาลจังหวัดเกียวโต ได้มีคำตัดสิน “ปฏิเสธคำร้องของจำเลย” ที่ร้องให้มีการพิจารณาคดีนี้ โดยคณะลูกขุน
และให้คดีนี้เป็นการพิจารณาโดยองค์คณะผู้พิพากษาเท่านั้น เนื่องจากเกรงว่า ประชาชนที่เข้ามาทำหน้าที่คณะลูกขุน มีความเสี่ยงที่อาจได้รับอันตรายจากอิทธิพลของแก๊งคูโดไค ในระหว่างการพิจารณาคดี
ปริศนาการลอบสังหาร :
แม้ว่าจะสามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ หากแต่ “การค้นหามูลเหตุจูงใจที่ชัดเจน ซึ่งนำไปสู่การสังหาร” ประธานทาคายูกิ โอฮิงาชิ ก็ยังคงเป็น “ปริศนาที่ยังคงไม่มีชัดเจน” เนื่องจากผู้ต้องสงสัยอย่าง “นายยูคิโอะ ทานากะ” ซึ่งมีประวัติถูกจำคุกในข้อหาฆาตกรรมและคดีอื่นๆ มาอย่างโชกโชน แทบไม่ยอมปริปากเปิดเผยข้อมูลใดๆกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
และแม้ว่า “คดีอื้อฉาวนี้” จะนำไปสู่การทำงานสืบสวนร่วมกันระหว่างตำรวจเกียวโตและตำรวจฟุคุโอกะ จนกระทั่งนำไปสู่การปราบปรามแก๊งแก๊งคูโดไคครั้งใหญ่ ในหลายปีต่อมา เ
พื่อหวังบั่นทอนอิทธิพลของแก๊งคูโดไคให้ลดน้อยลง และเปิดทางไปสู่การเปิดปากรับสารภาพ หรือ จับกุมผู้ต้องสงสัยคนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปอย่างที่คาด เนื่องจาก “ยูคิโอะ ทานากะ” ยังคงไม่ยินยอมที่จะเปิดเผยข้อมูลใดๆเพิ่มเติมอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ ความพยายามค้นหา “คำตอบสำคัญ” ที่ว่า เพราะเหตุใด แก๊งคูโดไค ซึ่งสร้างอิทธิพลอยู่ในเมืองคิตะคิวชู จังหวัดฟุคุโอกะ จึงมาเกี่ยวข้องกับ “ประธานบริษัทที่มีฐานที่มั่นอยู่ที่เมืองเกียวโต” ได้ จึงยังคงเป็นปริศนาที่ “ท้าทาย” อยู่เรื่อยมา
ความลึกลับของตระกูลผู้ก่อตั้ง :
แม้ว่าในทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะยังคงไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน เรื่อง “แรงจูงใจ” ที่นำไปสู่การสังหารประธานทาคายูกิ โอฮิงาชิ แต่จากการสืบเสาะหาข้อมูลของสื่อหลายแห่งในประเทศญี่ปุ่น รวมถึง คณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ซึ่งถูกตั้งขึ้นโดย บริษัทโอโช ฟู้ด เซอร์วิส เมื่อปี 2016
ได้พบ “ประเด็นที่น่าสนใจ” ที่เชื่อมโยงกับ “ช่วงเวลา” ที่บริษัทโอโช ฟู้ด เซอร์วิส เสี่ยงต่อการล้มละลายก่อนหน้านี้ด้วย
โดยอ้างอิงจากผลสรุปของ คณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ระบุว่า ในช่วงระยะเวลา กว่า 10 ปี นับจากปี 1995 เป็นต้นมา...
บริษัทโอโช ฟู้ด เซอร์วิส ภายใต้การบริหารงานของประธานรุ่นที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรชาย ของ “อาซาโอะ คาโตะ” ผู้ก่อตั้งและประธานรุ่นที่ 1 (ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว) มี “การทำธุรกรรมที่ไม่เหมาะสม” ไม่ว่าจะเป็น การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และปล่อยกู้ยืมเงิน กับ กลุ่มบริษัทที่เชื่อมโยงถึง “บุคคลคน คนหนึ่ง” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นมูลค่ารวมถึง 26,000 ล้านเยน (5,944ล้านบาท) และในจำนวนนี้ มากกว่า 17,000 ล้านเยน (3,886ล้านบาท) ไม่สามารถ “เรียกคืน” ได้
โดย “บุคคลลึกลับ” ดังกล่าว ซึ่งดำเนินธุรกิจสนามกอลฟ์ และเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในคิวชู เป็นผู้มีความใกล้ชิด กับ “ผู้ก่อตั้งบริษัทโอโช ฟู้ด เซอร์วิส”และ ประธานรุ่นที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรชายของผู้ก่อตั้ง เนื่องจากเคยช่วยไกล่เกลี่ย กับ ครอบครัวผู้เสียหาย ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ร้านอาหารในเครือบริษัท ที่โอซาก้า เมื่อปี 1989 รวมถึงยังช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องการประสานงานกับผู้บริหารเมืองเกียวโต ในเรื่องการขยายกิจการของบริษัทมาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ผลจากการทำธุรกรรมในลักษณะดังกล่าว ซึ่งโดยมากไม่ได้ถูกนำไปหารือในที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ของ ตระกูลของผู้ก่อตั้ง นั้น ได้ส่งผลให้บริษัทเสี่ยงต่อการล้มละลายในเวลาต่อมา จากการมีหนี้สินรวมดอกเบี้ยเป็นตัวเลขสูงถึง 47,000 ล้านเยน (10,645ล้านบาท) และเป็นผลให้ ไม่มีสถาบันการเงินใดๆยอมปล่อยสินเชื่อ ณ เวลานั้น อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ ประธานทาคายูกิ โอฮิงาชิ ซึ่งเป็น “น้องเขยของประธานรุ่นที่ 1” และเข้ารับตำแหน่งเป็นประธานรุ่นที่ 4 ในเวลาต่อมา จึงได้มีความพยายาม หาทางแก้ไขรวมถึงออกมาตรการป้องกัน “การทำธุรกรรม” ในลักษณะดังกล่าว กับ “บุคคลลึกลับผู้นี้” มาอย่างต่อเนื่อง
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับบริษัทเช่นในอดีต จนกระทั่งพลิกฟื้นให้บริษัท กลับมามีผลประกอบการอันแข็งแกร่งได้อีกครั้ง รวมถึงยังได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งพนักงานและนักธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นอย่างล้นหลาม
อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุที่ ผลสรุปของรายงานดังกล่าว ยืนยันว่า “ไม่มีความสัมพันธ์หรือมีความเชื่อมโยง” ระหว่างบริษัทโอโช ฟู้ด เซอร์วิส และ “กลุ่มต่อต้านสังคมใดๆ”
รวมถึง เมื่อผสมผสานเข้ากับการสอบปากคำผู้บริหารหลายต่อหลายคน หรือแม้กระทั่งการเข้าค้นบ้านพักของอดีตผู้บริหารจากตระกูลผู้ก่อตั้ง ที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับ “การทำธุรกรรมที่ไม่เหมาะสม” ที่ว่านี้
แต่ก็ยังคง… “ไม่พบกับคำตอบ” ที่นำไปสู่การสังหาร รวมถึง การเชื่อมโยงถึงกลุ่มอาชญากรใดๆอยู่ดี
และด้วยเหตุนี้ มันจึงยังคงทำให้ “การลอบสังหารประธานรุ่นที่ 4 ของ โอโช ฟู้ด เซอร์วิส” เป็นปริศนาที่ยังคงต้องพยายามหา “คำตอบที่กระจ่างชัด” ต่อไป
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ จากบทความอันแสนยาวยืด “คุณ” มีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้าง?

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม :
แชมป์แรกในชีวิต แฮร์รี เคน ที่มาจาก Hard Work & Self-Belief (ชมคลิป)
ทำไมคนจีนเที่ยวไทยน้อยลง เวียดนามคู่แข่งที่น่ากลัวจริงไหม (ชมคลิป)
เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ สเกาเซอร์ผู้ชื่นชอบความท้าทาย (ชมคลิป)
สปริตและพลังงาน วาตารุ เอ็นโดะ นักเตะรับจบที่นำลิเวอร์พูลสู่แชมป์ (ชมคลิป)
You might be intertested in this news.
Mostview
เจ้าบ่าวทมิฬ จากงานแต่ง เป็นงานศพ คดีรักขมของหมอปอ (2560) ชมคลิป
จากงานแต่งงาน กลายเป็นงานศพ ความรักที่มีให้กัน 20 ปี ช่างไร้ค่า เพราะเมื่อหมดรักแล้ว สามารถทำร้าย ทำลายชีวิตได้ คดีสุดเศร้าในปี 2560 “ฆ่าหมอปอ” ว่าที่เจ้าสาว โดยฝีมือว่าที่เจ้าบ่าว ที่กำลังจะแต่งงานอีก 5 วัน....
แชมป์แรกในชีวิต แฮร์รี เคน ที่มาจาก Hard Work & Self-Belief (ชมคลิป)
แชมป์แรกในชีวิต แฮร์รี เคน ที่มาจาก Hard Work & Self-Belief
ทำไมคนจีนเที่ยวไทยน้อยลง เวียดนามคู่แข่งที่น่ากลัวจริงไหม (ชมคลิป)
ทำไมคนจีนเที่ยวไทยน้อยลง เวียดนามคู่แข่งที่น่ากลัวจริงไหม
แถลงการณ์ร่วมฉบับเต็ม สหรัฐ - จีน ปิดดีลสำเร็จ
แถลงการณ์ร่วมฉบับเต็ม สหรัฐ - จีน ปิดดีลสำเร็จ
การ์ทเนอร์ ชี้ ไตรมาส1ปี 68 ยอดส่งพีซีทั่วโลกเพิ่ม 4.8% เอชพี เป็นเบอร์ 1
การ์ทเนอร์เผยไตรมาสแรกปี 2568 ยอดจัดส่งพีซีทั่วโลกเพิ่มขึ้น 4.8% หรือ 59 ล้านเครื่อง ขณะที่ในสหรัฐฯ โต 12.6% หรือ 16 ล้านเครื่อง โดยเอชพีครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 รองลงมาคือ เดลล์ และ แอปเปิล ชี้ วินโดวส์ 11 และสต็อกเพิ่มหนีภาษีทรัมป์เป็นตัวกระตุ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
