วันศุกร์, กันยายน 5, 2568

ตำนานโคตรโกง7,000ล้านเยน กลลวงยักษ์ใหญ่ซื้อที่ดินสุดเนียน

by Trust News, 4 กันยายน 2568

ตำนานโคตรโกง7,000ล้านเยน กลลวงยักษ์ใหญ่ซื้อที่ดินสุดเนียน

คุณเชื่อหรือไม่?

บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1960 และปัจจุบันมี Market Cap. สูงถึง 1.8 ล้านล้านเยน (3.9แสนล้านบาท) รวมถึงยังสามารถขยายกิจการออกไปนอกประเทศ จนคลอบคลุมตลาดอเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย และ เอเชียแปซิฟิก

เคยพลาดพลั้งเสียท่า “สูญเงิน” ให้กับ “การหลอกลวง” ของ “แก๊งอาชญากร” คิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากถึง 7,000 ล้านเยน (1,500ล้านบาท) จนกลายเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วทั้งเกาะญี่ปุ่น

เรื่องราว “สุดเหลือเชื่อเช่นนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร?”

และ “กลลวง” ที่นำไปสู่ “หลุมพราง” สำหรับการล่อลวงเงินจำนวนมหาศาล กับ บริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกเช่นนี้ มี “ชั้นเชิงและวิธีการ” ที่ พวกเราในฐานะคนปกติธรรมดา ควรได้รับทราบเพื่อป้องกันตัวเองจากเหล่า 18 มงกุฏ อย่างไร?

วันนี้ “เรา” ได้รวบรวมเรื่องราวและข้อมูลเหล่านั้น มาให้ “คุณ” ได้ร่วมกันพิจารณาแล้ว

Sekisui House (เซกิซุย เฮ้าส์) :

“เซกิซุย เฮ้าส์” (Sekisui House) เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1960 ปัจจุบัน (ปี2025) มี Market Cap. สูงถึง 1.8 ล้านล้านเยน (3.9แสนล้านบาท)

โดย เซกิซุย เฮ้าส์ มีความเชี่ยวชาญเรื่องการสร้างบ้านสำเร็จรูป และมีชื่อเสียงในเรื่องการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายการลงทุนออกไปยังต่างประเทศ จนคลอบคลุมตลาดอเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย และ เอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะที่ตลาดอเมริกาเหนือ นั้น ปัจจุบันมียอดขายเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 20% ของยอดขายทั้งหมดของบริษัท

โดย รายงานผลประกอบการ ณ สิ้นปี 2024 “เซกิซุย เฮ้าส์” มียอดขายสุทธิรวม 4,058,583 ล้านเยน (883,716 ล้านบาท) +30.6% เมื่อเปรียบเทียบแบบปีต่อปี และมีกำไรสุทธิรวม 301,627 ล้านเยน (65,676 ล้านบาท) +12.4% เมื่อเปรียบเทียบแบบปีต่อปี

ส่วนรายงานผลประกอบการ ไตรมาสแรกปี 2025 บริษัทมียอดขายสุทธิรวม 894,044 ล้านเยน
(194,669 ล้านบาท) +15.1% เมื่อเปรียบเทียบแบบปีต่อปี และมีกำไรสุทธิรวม 46,811 ล้านเยน (10,192 ล้านบาท) +34.1% เมื่อเปรียบเทียบแบบปีต่อปี

 

ชายปริศนา :

30มี.ค.2017 “ยูจิ โอดะ” (Yuji Oda) รองผู้จัดการทั่วไปแผนกคอนโดมีเนียมพื้นที่โตเกียว ของ บริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ ได้พบกับชายปริศนาคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่า “ซึโยชิ อิคุตะ” (Tsuyoshi Ikuta) ในงานเลี้ยงส่วนตัว

โดยในการพบกันครั้งนั้น “ซึโยชิ อิคุตะ” ได้ทำทีเข้าสอบถามกับ “ยูจิ โอดะ” ว่า ตนเองกำลังจะทำสัญญาซื้อขาย กับ “เจ้าของที่ดินผืนงาม” ในย่านโกทันดะ ของ กรุงโตเกียว

ทำให้ “รองผู้จัดการของบริษัทเซกิซุย เฮ้าส์” ซึ่งคร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ มาอย่างยาวนาน และทราบดีว่า ที่ดินผืนงามดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่ ที่รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังเร่งพัฒนา เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดกีฬาโอลิมปิค ปี 2020 นั้น ผู้คนในวงการอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่น ต่างรับทราบโดยทั่วกันดีว่า “เจ้าของที่ดินผืนงาม ซึ่งเป็นหญิงชราวัย 70 ปี” ยืนกรานมาโดยตลอดว่า “จะไม่มีวันขายที่ดิน ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของโรงแรมแบบเรียวกัง ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ อย่างเด็ดขาด”

อีกทั้งในอดีตที่ผ่านมา บรรดาบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใดๆ ก็ยังไม่มีโอกาสได้ติดต่อหรือพบกับ “ตัวจริง” ของ “เจ้าของที่ดินผืนงาม” ที่เบื้องต้นได้รับการประเมินว่า น่าจะมีมูลค่าระหว่าง 8,000 - 10,000 ล้านเยน (1,741ล้านบาท - 2,177ล้านบาท) มาก่อน

ด้วยเหตุนี้ ในตอนแรก “รองผู้จัดการของบริษัทเซกิซุย เฮ้าส์” จึงปรามาส “ชายปริศนา” อย่าง “ซึโยชิ อิคุตะ” คนนี้…น่าจะเป็นเพียง “มือสมัครเล่น” ในวงการเท่านั้น

พร้อมกับได้ให้คำแนะนำไปด้วยว่า “หากเจ้าของที่ดินต้องการที่จะขายที่ดินผืนดังกล่าวจริง” จะต้อง “ผ่านการตรวจสอบตัวตน” รวมถึงไม่ควร “จ่ายเงินมัดจำ” จนกว่ากระบวนการดังกล่าวจะได้รับการยืนยันด้วย

 

หลุมพราง :

หลังการพบกันในครั้งนั้น “ยูจิ โอดะ” (Yuji Oda) รองผู้จัดการทั่วไปแผนกคอนโดมีเนียมพื้นที่โตเกียว ของ บริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ ได้รับการติดต่ออีกครั้ง จาก “ซึโยชิ อิคุตะ” ซึ่งอ้างว่า ตนเองเป็นประธานบริษัทที่มีชื่อว่า “บริษัทอิคุตะ โฮลดิ้ง”  (IKUTA HOLDINGS Co.,Ltd.) ว่า ตนเอง สามารถนัด “เจ้าของที่ดินผืนงาม” มาทำการตรวจสอบเรื่องการ “ยืนยันตัวตน” ผ่านเอกสารทางการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือเดินทาง , ตราประทับประจำตัว , ใบรับรองตราประทับประจำตัว , เอกสารการโอนกรรมสิทธิ์ที่มีการลงนาม ได้เรียบร้อยแล้ว

รวมถึง ยังได้มีการจ่ายเงินมัดจำก้อนแรก เป็นเงิน 20 ล้านเยน (4.3 ล้านบาท) ที่ สำนักงานทนายความ เมื่อวันที่ 3เม.ย.2017 ไปแล้วอีกด้วย

จากนั้น บุคคลที่อ้างตัวเองว่าเป็น “ประธานบริษัทอิคุตะ โฮลดิ้ง” จึงได้สอบถามกับ รองผู้จัดการทั่วไป บริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ ว่า… “สนใจที่จะซื้อที่ดินผืนงามนี้ ในราคา 7,000 ล้านเยน (1,524ล้านบาท) ผ่านบริษัทของตนเองหรือไม่?”

ซึ่งแน่นอนว่า “คำตอบ” ที่ได้รับกลับมาจาก “ยูจิ โอดะ” คือ “มีความสนใจเป็นอย่างยิ่ง” ทั้งๆที่ เรื่องราวทั้งหมดเป็น เพียงการบอกเล่าของ “ซึโยชิ อิคุตะ” ทั้งสิ้น

 

รีบเร่งจนหละหลวม :

โดยปกติกระบวนการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ของ บริษัทใหญ่ๆในญี่ปุ่น จะมีความรัดกุมในเรื่องการตรวจสอบและใช้เวลาพิจารณาเพื่อขออนุมัตินานพอสมควร อย่างไรก็ดีในกรณีนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า..

ในวันที่ 14เม.ย.2017 “ยูจิ โอดะ” (Yuji Oda) รองผู้จัดการทั่วไปแผนกคอนโดมีเนียมพื้นที่โตเกียว ของ บริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ ได้นำข้อเสนอของ “ซึโยชิ อิคุตะ” เข้าสู่ที่ประชุมบริษัท จนกระทั่งได้รับ “ความเห็นชอบ” สำหรับการเดินหน้าซื้อที่ดินผืนงามดังกล่าว พร้อมกับมีการเร่งจัดทำเอกสารสำหรับการอนุมัติภายใน เพื่อซื้อที่ดินดังกล่าว ภายในวันที่ 17เม.ย.2017 หรือเพียง 3 วัน หลังมีการนำเรื่องเข้าที่ประชุม

และไม่เพียงเท่านั้น เอกสารสำหรับการอนุมัติภายในดังกล่าว ยังมีการระบุชื่อ ของ ประธานบริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ ด้วยว่า “เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้เข้าตรวจสอบที่ดินผืนดังกล่าว” เพื่อหวังเพิ่มความน่าเชื่อถือ ในวันที่ 18เม.ย.2017 ก่อนที่จะมีการส่งเอกสารดังกล่าวจาก “สำนักงานธุรกิจคอนโดมีเนียม” ไปยัง “แผนกอสังหารริมทรัพย์” ในวันเดียวกันนั้นทันที

ทำให้อีกเพียงหนึ่งวันหลังจากนั้น (19เม.ย.2017) “แผนกอสังหารริมทรัพย์” ได้ผ่านความเห็นชอบ และส่งเรื่องไปยังผู้บริหารระดับสูงในแผนกต่างๆ รวมถึง แผนกกฎหมาย เพื่อตรวจสอบ

และจากความเร่งรีบ เพื่อรวบรัดกระบวนการต่างๆ ด้วยเหตุที่ว่า....ที่ดินผืนงามอาจถูกบริษัทอื่นชิงตัดหน้าซื้อไปนี้เอง ทำให้ “เอกสารคำขออนุมัติภายในดังกล่าว” ซึ่งควรจะใช้เวลาในการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน จึงได้ถูกนำคืนส่งกลับมาให้ “ประธานบริษัทเซกิซุย เฮ้าส์” ลงนามอนุมัติในขั้นตอนสุดท้าย ในวันถัดมาทันที! (20เม.ย.2017)

ทั้งๆที่ ที่มาที่ไปของ “บริษัทอิคุตะ โฮลดิ้ง”  (IKUTA HOLDINGS Co.,Ltd.) นั้น มีจุดที่น่าตั้งข้อสังเกตหลายจุด โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ความน่าเชื่อถือ” และ “ความสามารถในการชำระหนี้”

แต่กลับ ไม่มีการทักท้วงใดๆ จากแผนกต่างๆ เกี่ยวกับ “ข้อพิรุธอันน่าสงสัย” ในรายงานการขออนุมัติภายในนี้เลยแม้น้อย

 

การหลอกลวง :

20เม.ย.2017 กระบวนการซื้อขายได้เริ่มต้นขึ้น โดย “ยูจิ โอดะ” ในฐานะผู้แทนของบริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ ได้เข้าพบกับ “กลุ่มบุคคล” ที่อ้างว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายที่ดินผืนงาม รวม 6 คน เป็น “ครั้งแรก” เพื่อตรวจสอบขั้นต้น สำหรับการเตรียมความพร้อมในการซื้อขายอย่างเป็นทางการ ที่กำหนดขึ้นในวันที่ 24เม.ย.2017

โดยในการพบกัน “ครั้งแรก” นี้ ผู้แทนของบริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ และบุคคลที่มีชื่อว่า “ซากิโกะ เอบิซาวะ” (Sakiko Ebisawa) ซึ่งอ้างว่าตัวเองเป็น “เจ้าของที่ดิน” ได้ทำข้อตกลงร่วมกันว่า “สัญญาการซื้อขายเดิม” ระหว่าง เจ้าของที่ดินและ “บริษัทอิคุตะ โฮลดิ้ง” ของ ชายปริศนา “ซึโยชิ อิคุตะ” จะต้องถูก “ยกเลิก”

และทาง บริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ ยังเสนอที่จะจ่ายเงินมัดจำก้อนแรก เป็นเงินมากถึง 1,400 ล้านเยน! (304ล้านบาท) แทนที่จะเป็นเงินเพียง 20 ล้านเยน (4.3 ล้านบาท) ซึ่งเป็นตัวเลขที่ “เท่ากับกับของบริษัทอิคุตะ โฮลดิ้ง” อีกด้วย

โดยให้เหตุผลว่า เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ “เจ้าของที่ดิน” เปลี่ยนใจ “ขอยกเลิกการซื้อขาย” ในขณะที่ภาระค่าใช้จ่ายสำหรับการรื้อถอนต่างๆ ฝ่ายเจ้าของที่ดินจะเป็นผู้รับผิดชอบ

ทำให้ จำนวนเงินที่ต้องชำระที่เหลืออีก 5,600 ล้านเยน (1,219ล้านบาท) รวมถึงการโอนกรรมสิทธิ์ในขั้นตอนสุดท้าย จึงได้ถูกกำหนดไว้ใน “วันที่ 31ก.ค.2017” เพื่อให้ฝ่ายเจ้าของที่ดิน มีเวลาสำหรับการรื้อถอนอาคารต่างๆ รวมถึงให้เวลา “ซึโยชิ อิคุตะ” จัดการเรื่อง “เปลี่ยนคู่สัญญา” จาก บริษัทอิคุตะ โฮลดิ้ง (IKUTA HOLDINGS Co.,Ltd.) ไปเป็น “บริษัทอิคุตะ คอร์ปอเรชั่น” (IKUTA Corp.) ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่า เพื่อเป็นการ “หลบเลี่ยงภาษี”

 

การปลอมแปลง :

24เม.ย.2017 การซื้อขายอย่างเป็นทางการเริ่มต้นขึ้น โดยทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย 2 คน ได้ทำการตรวจสอบเพื่อ “ยืนยันตัวตน” บุคคลที่อ้างว่าเป็น “ซากิโกะ เอบิซาวะ” เจ้าของที่ดิน พร้อมกับ ได้ตรวจสอบเอกสารทางการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือเดินทาง , ตราประทับประจำตัว , ใบรับรองตราประทับประจำตัว , ทะเบียนบ้าน ซึ่งเป็น “เอกสารตัวจริงทั้งหมด” ยกเว้น สำเนารับรองกรรมสิทธิ์ในที่ดิน  ที่เจ้าตัว นำมาส่งมอบ

ซึ่งหลังผ่านการตรวจสอบที่ “ไม่พบปัญหาใดๆ” โดยทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายทั้ง 2 คน เสร็จสิ้นลง ผู้แทนบริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ ได้มอบเช็คเงินฝาก 1,200 ล้านเยน (261ล้านบาท) ให้กับ “บุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดิน” ส่วนอีก 200 ล้านเยน (43ล้านบาท) ถูกโอนผ่านธนาคารไปให้กับ ชายปริศนา “ซึโยชิ อิคุตะ”

จากนั้น จึงได้มีการยื่นเรื่อง “เพื่อขอออกเอกสารสิทธิที่ดินชั่วคราว” ในวันที่ 29เม.ย.2017

บกพร่องการตรวจสอบ :

หลังกระบวนการ ยื่นเรื่องเพื่อขอออกเอกสารสิทธิที่ดินชั่วคราว ในวันที่ 29เม.ย.2017 เสร็จสิ้นลง บริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ เริ่มได้รับข้อมูล ที่ระบุถึง “ความเสี่ยง” ที่จะทำให้การทำสัญญาซื้อขายที่ดินเป็น “โมฆะ” มาเรื่อยๆ ตั้งแต่วันที่ 10 - 23 พ.ค. 2017  

โดยเฉพาะจดหมายถึง 4 ฉบับ จากผู้แทนฝ่ายกฎหมายของ “ซากิโกะ เอบิซาวะ” ตัวจริง ที่ระบุว่า “ตนเองคือเจ้าของที่ดินผืนดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ ตนเองจึงรู้สึกตกใจมากที่มีการ “ยื่นขอออกเอกสารสิทธิที่ดินชั่วคราว” ทั้งๆที่ ตนเองไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวแต่อย่างใด

ดังนั้นการทำธุรกรรมดังกล่าว จึงต้องกลายเป็น “โมฆะ” พร้อมกับได้กำชับให้ทางบริษัทควรใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ในการเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

อย่างไรก็ดีแม้จะได้รับ “คำเตือน” ดังกล่าว แต่ด้วยเพราะในช่วงเวลานั้น มีบุคคลหลายต่อหลายคน ที่อ้างว่าเคยเป็นอดีตพนักงานและผู้ใกล้ชิด ซึ่งถูกชายปริศนา “ซึโยชิ อิคุตะ” ไล่ออก หลังการทำสัญญาซื้อขายที่ดิน พยายามเข้ามาก่อกวน ที่บริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ หลายต่อหลายครั้ง ประกอบกับ ได้รับข้อมูลว่า “ซากิโกะ เอบิซาวะ” มีปัญหากับ “อดีตสามี” จึงทำให้ บริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ เชื่อว่า ทั้งหมดเป็นเพียงกระบวนการพยายามขัดขวางการซื้อขายที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี บริษัทได้ตัดสินใจ ที่จะขอตรวจสอบการยืนยันตัวกับ “ซากิโกะ เอบิซาวะ” ที่ฝ่ายตัวเอง ได้ทำข้อตกลงซื้อขายที่ดินกันอีกครั้ง หากแต่สิ่งที่ “น่าประหลาด” คือ ความพยายามหลายต่อหลายครั้ง “มักล้มเหลว” เนื่องจาก “ซากิโกะ เอบิซาวะ” ไม่ยอมมาปรากฏตัวตามนัดหมาย ตั้งแต่วันที่ 11พ.ค. 2017 เป็นต้นมา ภายใต้สารพัดข้ออ้างต่างๆนานา

ขณะเดียวกัน บริษัทยังละเลยข้อแนะนำจากแผนกกฎหมายตัวเอง ที่ว่า ควรตรวจสอบโดยการไปสอบถามข้อเท็จจริง หรือ ยืนยันตัวตนด้วยรูปถ่าย กับ “บรรดาเพื่อนบ้าน” ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง เนื่องจากเกรงว่า การกระทำดังกล่าวอาจทำให้เธอไม่พอใจจนกระทั่ง “ยกเลิกสัญญาการซื้อขาย”

หากแต่ที่ดูจะเลวร้ายที่สุด คือ การนัดพบกันในวันที่ 23พ.ค.2017 การแสดงอย่างแนบเนียนของ “ซากิโกะ เอบิซาวะ” ตัวปลอม ที่ยืนยันว่า การกระทำทั้งหมดของอีกฝ่าย เป็นเพียง “ผู้พยายามสวมรอย” จากบริษัทอื่นที่ต้องการขัดขวางการซื้อขายที่เกิดขึ้น ยังทำให้ บริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ ตัดสินใจเร่งการชำระเงินงวดสุดท้าย เพื่อปิดสัญญาซื้อขาย จากเดิม “ในวันที่ 31ก.ค.2017” มาเป็นวันที่ 1มิ.ย.2017 อีกด้วย

ความจริงปรากฏ :

ทั้งๆที่ “ซากิโกะ เอบิซาวะ” ตัวปลอม ไม่สามารถนำเอกสารใบรับรองกรรมสิทธิ์ในที่ดินตัวจริง มามอบให้ ในวันนัดหมายได้ จาก ข้ออ้างที่ว่า “ไม่ต้องการไปพบกับอดีตสามี” อีกทั้งในวันดังกล่าว ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ เดินทางไปตรวจสอบที่ดินที่มีปัญหา พร้อมกับให้พนักงานของบริษัทไปไกล่เกลี่ยที่สถานี หลังได้รับแจ้งจาก “เจ้าของที่ดินตัวจริง”

แต่บริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ ก็ยังคงเดินหน้าปิดการซื้อขาย ด้วยการชำระเงินส่วนที่เหลือ ผ่านเช็คเงินฝากหลายฉบับรวม 4,900 ล้านเยน (1,066ล้านบาท) ให้กับ “ทีมงานกำมะลอ และ “ซากิโกะ เอบิซาวะ” ตัวปลอม ในช่วงเช้าของวันที่ 1มิ.ย.2017 ในพิธีอย่างเป็นทางการ ที่บริษัทของตัวเองในที่สุด

แต่แล้วในอีกเพียง 8 วันถัดมา (9มิ.ย.2017) “ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์วงการอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่น” ก็ได้ถูกเปิดเผยขึ้นจนได้ หลัง สำนักงานกฎหมายท้องถิ่น ได้แจ้งกลับมายัง บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้ว่า การทำธุรกรรมดังกล่าว เป็น “โมฆะ” เนื่องจากเป็นการซื้อขายที่ไม่ผ่าน “เจ้าของที่ดินตัวจริง!”

และจากนั้นเป็นต้นมา บริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ ก็ไม่สามารถติดต่อกับ “ซากิโกะ เอบิซาวะ” ตัวปลอม หรือ ผู้ร่วมขบวนการคนอื่นๆ ได้อีกเลย!

ผลการสอบสวน :

กระบวนการสอบสวนภายใน บริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ นำไปสู่บทสรุปที่ว่า “ทั้งหมดเป็นความผิดพลาด” ของ “ยูจิ โอดะ” (Yuji Oda) รองผู้จัดการทั่วไปแผนกคอนโดมีเนียมพื้นที่โตเกียว ที่ทั้งประมาทและขาดความรอบคอบอย่างร้ายแรง ในการทำธุรกรรมดังกล่าว ทั้งๆที่ในระหว่างกระบวนการ “มีช่องโหว่ต่างๆมากมาย”

ไม่ว่าจะเป็น กรณี “บริษัทกำมะลอ” ของ หัวหน้า 18 มงกุฏ ที่เพิ่งก่อตั้งในปี 2008 และมีทุนจดทะเบียนเพียง 100 ล้านเยน (21ล้านบาท) รวมถึงไม่ได้ประกอบกิจการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะสามารถซื้อที่ดินมูลค่า 10,000 ล้านเยน (2,100ล้านบาท) ได้ในราคาเพียงแค่ 6,000 ล้านเยน (1,300ล้านบาท)

หรือ การยินยอมตาม “คำขอ” เปลี่ยนบริษัทคู่สัญญาในการซื้อขาย จาก บริษัทอิคุตะ โฮลดิ้ง (IKUTA HOLDINGS Co.,Ltd.) ไปเป็น “บริษัทอิคุตะ คอร์ปอเรชั่น” (IKUTA Corp.) ก่อนที่กระบวนการอุนมัติภายในจะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติ และง่ายต่อการตัดความเชื่อมโยง กับ ขบวนการหลอกลวงในครั้งนี้

หากแต่ที่ “เลวร้ายมากที่สุด” คือ ไร้ซึ่งการวางแผนที่รัดกุมสำหรับการเดินหน้าตรวจสอบข้อเท็จจริง ในเรื่องการ “ยืนยันตัวตน” ของผู้สมอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดิน รวมถึง การตรวจสอบเบื้องหลัง ของบรรดาผู้ร่วมขบวนการหลอกลวงในครั้งนี้ทั้งหมด

โดยเฉพาะกรณีที่ “เจ้าของที่ดินตัวปลอม” ไม่เคยยินยอมมาปรากฏตัว ในเวลาที่มีการนัดหมายให้มาตรวจสอบที่ดินแม้แต่ครั้งเดียว โดยอ้างเพียงว่า มีอาการป่วย หนำซ้ำ “ทนายกำมะลอ” ที่มารับหน้าทีมตรวจสอบ ยังใช้วิธีปลดแม่กุญแจจากประตูหลัง แทนที่จะเป็นประตูหน้า ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ “ผิดปกติมากๆ”

ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งๆที่ได้รับการท้วงติง จากผู้เชี่ยวชาญและฝ่ายกฎหมาย แล้วว่า “เจ้าของที่ดินตัวปลอม” ระบุ “วันเกิดและราศีเกิด” ไม่ตรงตามเอกสารการยืนยันตัวตนก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังไม่มีการเร่งตรวจสอบอย่างเร่งด่วนใดๆ ตามมาอีกด้วย

รวบแก๊งต้มตุ๋น :

หลังคดีฉ้อโกงอันโด่งดังผ่านไปเพียง 7 เดือน ในที่สุด ตำรวจญี่ปุ่นก็สามารถจับกุมตัว “ซึโยชิ อิคุตะ หรือ ชื่อจริงคือ “ไมค์ อุจิดะ” วัย 71 ปี (Mike Uchida) หัวหน้าแก๊ง18มงกุฏนี้ได้สำเร็จ ในเดือนตุลาคม ปี2017 ขณะเจ้าตัวกำลังถอนเงินสดจำนวนมาก จากตู้ ATM จากนั้น จึงได้มีการขยายผลจนกระทั่งจับกุมผู้ร่วมขบวนการได้ในที่สุด

ล่าสุด เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2024 ศาลได้มีคำพิพากษาให้ “ไมค์ อุจิดะ” (Mike Uchida) มีความผิดฐานฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสาร รับโทษจำคุก 12 ปี ส่วนผู้ร่วมขบวนการอีก 4 คน ได้รับโทษจำคุก 11 ปี และต้องชดใช้เงินค่าเสียหายรวม 1,000 ล้านเยนให้กับ “บริษัทเซกิซุย เฮ้าส์”

ทั้งนี้ ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในคดีนี้ ซึ่งถูกดำเนินคดีทั้งสิ้น 10 คน โดย 5 คนแรกที่เป็นแกนนำร่วมกับ “ไมค์ อุจิดะ” ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาและขอต่อสู้คดี ส่วนอีก 5 คน นั้น ยอมรับสารภาพและไม่ขอต่อสู้คดี

ทั้งนี้ จากรายการสอบสวนภายในของ “บริษัทเซกิซุย เฮ้าส์” ระบุว่า ความเสียหายจากคดีดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งอยู่ที่ทั้งหมด 7,000 ล้านเยน (1,500ล้านบาท) นั้น เนื่องจากอีก 700 ล้านเยน (152ล้านบาท) ได้ถูกสำรองไว้จ่ายในช่วงเดือนกรกฏาคมปี 2017 หรือ หลังจากแก๊ง18มงกุฏนี้ ได้หลบหนี หลังได้เงินก้อนโตไปแล้ว

เมื่อประกอบกับ “เจ้าของที่ดินตัวปลอม” ได้ทำสัญญาซื้อคอนโดมีเนียมกับทางบริษัทอีก 750 ล้านเยน (163ล้านบาท) จึงทำให้ “มูลค่าความเสียหายรวม” จากการต้มตุ๋นในครั้งนี้ จึงอยู่ที่ประมาณ 5,500 ล้านเยน (1,197ล้านบาท)

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ จากบทความอันแสนยาวยืด “คุณ” มีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้าง?

 

 

** หมายเหตุ รวบรวมจากรายงานผลการสอบสวนภายใน ของ บริษัทเซกิซุย เฮ้าส์ **

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม :

รักเวียดนามชิงชังไทย เหตุใดเขมรจึงลำเอียง (ชมคลิป)

ภาระผู้ลี้ภัยจากเพื่อนบ้าน น้ำใจไทยใยเขมรจึงลืมเลือน (ชมคลิป)

สำรวจวงจรเชื่อมผลประโยชน์ สายใยที่ยึดโยงตระกูลฮุน

สำรวจวีรเวร ที่ไม่ ใช่วีรกรรม BHQ องค์รักษ์ประจำตัว ฮุนเซน (ชมคลิป)

เรียนรู้ถึงตัวตนของฮุนเซน ผ่านการดิ้นรนเพื่อไปสู่อำนาจ (ชมคลิป)

ย้อนรอย จลาจลเผาสถานทูตไทย บทเรียนข่าวเท็จ กัมพูชา ปี2546 (ชมคลิป)

ย้อนสงครามไทย-กัมพูชา 2554 BM 21 VS ปืนใหญ่ “บิ๊กตู่” ลั่น อยากรบก็รบ! (ชมคลิป)


You might be intertested in this news.

Mostview

รักเวียดนามชิงชังไทย เหตุใดเขมรจึงลำเอียง (ชมคลิป)

รักเวียดนามชิงชังไทย เหตุใดเขมรจึงลำเอียง (ชมคลิป)

7 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (5ก.ย.2025)

7 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (5ก.ย.2025)

8 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (4ก.ย.2025)

8 ประเด็นสำคัญต้องรู้ ก่อนคิดลงทุนวันนี้ (4ก.ย.2025)

รีวิว “คำสาปเสื้อกันฝน” หนังผีไต้หวันที่หลอนไม่แรง

หนังผี “คำสาปเสื้อกันฝน” หนังไต้หวัน ที่บอกเล่าตำนานเล่าขานมาเกือบครึ่งศตวรรษจากป่าทึบบนภูเขาสูงแห่งไต้หวันว่า หากคุณหลงทางในป่า ชายปริศนาสวมเสื้อกันฝนสีเหลืองจะปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยนำทาง แต่เมื่อใดที่เลือกเดินตามไป...

แนวโน้มราคาทองคําวันนี้(4ก.ย.68) ลดความเสี่ยง

แนวโน้มราคาทองคําวันนี้(4ก.ย.68) ลดความเสี่ยง

TrustNEws Line